เมื่อปฏิทินเวลาผันผ่านมาถึงช่วงปลายปี เป็นธรรมเนียมปฏิบัติอย่างต่อเนื่องของ “ทีมข่าวการเมืองไทยรัฐ” ที่ต้องใช้เวลาในห้วงรอยต่อก่อนสิ้นปี มานั่งประชุมปรึกษาหารือกัน เฟ้นหา “บุคคลการเมืองแห่งปี”

และโดยกติกาที่ปฏิบัติกันมา นักการเมืองที่ได้รับเลือกให้เป็นบุคคลการเมืองแห่งปี โดยการตัดสินจากทีมของเรา ไม่ได้หมายความว่า เขาหรือเธอผู้นั้นต้องเป็นนักการเมืองที่วิเศษวิโส มีผลงานยอดเยี่ยมเพียบพร้อมด้วยคุณธรรม หรือมีความสามารถเชี่ยวชาญการเมืองขั้นเทพ

แต่ “บุคคลการเมืองแห่งปี” ในนิยามความหมายของเรา หมายถึงนักการเมืองที่มีบทบาท มีศักยภาพในการสร้างความเปลี่ยนแปลง สร้างสีสันฉูดฉาด สร้างความสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นให้เกิดขึ้นกับการเมืองในประเทศไทยได้อย่างชัดเจนเป็นที่ประจักษ์

บางปีอาจมีตัวเลือกมากกว่า 1 คน หรือบางครั้งก็มีการเสนอเข้ามาเป็นคณะ ทำให้ต้องมีการวิพากษ์ถกเถียงกันอย่างคร่ำเคร่งกว่าจะได้คำตอบสุดท้ายออกมา

สำหรับปีนี้ทีมของเราใช้เวลาซาวเสียงกันไม่นาน ก่อนมีความเห็นเป็นเอกฉันท์

ยกให้ “กำนันเทพ” นายสุเทพ  เทือกสุบรรณ  เป็นบุคคลการเมืองแห่งปี 2556

ก็อย่างที่เกริ่นไว้ บุคคลการเมืองแห่งปีในความหมายของ “ทีมข่าวการเมืองไทยรัฐ” ไม่ได้หมายความว่า เขาผู้นั้นต้องเป็นนักการเมืองที่วิเศษวิโส เพียบพร้อมไปด้วยคุณธรรม

แต่หมายถึงนักการเมืองที่มีบทบาท มีศักยภาพในการสร้างความเปลี่ยนแปลง สร้างสีสันฉูดฉาด สร้างความสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นให้เกิดขึ้นกับการเมืองในประเทศไทยได้อย่างชัดเจนเป็นที่ประจักษ์

แน่นอนโดยเงื่อนไขคงไม่มีใครเหมาะสมไปกว่า “กำนันเทพ”กับบทเลขาธิการคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข หรือ กปปส.

ผู้นำ “มวลมหาประชาชน” โค่นระบอบทักษิณ

สร้างประวัติศาสตร์นำกลุ่มผู้ชุมนุมต่อต้านรัฐบาลออกมากันจนล้นถนน เดินขบวนแสดงพลังกันอย่างล้นหลามจนต้องบันทึกเป็นประวัติศาสตร์หน้าใหม่

ตามฉากจากภาพข่าว ครั้งแรกในวันที่ 24 ตุลาคม มวลชนที่ออกมาร่วมกับ “ม็อบกำนันเทพ” ยาวเหยียดตั้งแต่สะพานมัฆวานรังสรรค์ไปยันเชิงสะพานพระปิ่นเกล้า

นับไม่ครบว่าหลักล้านหรือไม่  แต่ไม่น้อยกว่าเหตุการณ์ “14 ตุลา” แน่

และอีกรอบในการจัดม็อบ 9 ทัพ กระจายกำลังทั่วกรุงเทพฯ บุกล้อมทำเนียบรัฐบาล นายสุเทพก็นำมวลชนมหาศาลเคลื่อนมาตามถนนวิภาวดีรังสิต ระยะทางเกือบ 20 กิโลเมตร ตลอดเส้นทางยังมีประชาชนแนวร่วมตามอาคาร พนักงานบริษัท ห้างร้าน ออกมาร่วมให้กำลังใจกันแน่นสองข้างทาง

ม็อบต้านรัฐบาลจุดติดพรึ่บพรั่บ

กดดันจน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ต้องตัดสินใจยุบสภาในที่สุด

นายสุเทพ คือผู้ก่อชนวน จุดหักเหต่อการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองครั้งสำคัญ

แต่แน่นอน ความจริงอีกด้านหนึ่ง แนวร่วมม็อบต่อต้านรัฐบาลส่วนหนึ่งและน่าจะเป็นส่วนใหญ่ ไม่ได้ชื่นชอบหรือศรัทธานายสุเทพเป็นการส่วนตัว ตรงกันข้ามออกจะค้างคาใจด้วยซ้ำ

เพราะพฤติกรรมในอดีตของเจ้าของฉายา “เทพเทือก”ก็ไม่ได้สดใสวาววับ

ตามประวัติบนเส้นทางการเมืองโชกโชน ในฐานะขุนพลฝ่ายบู๊ของพรรคประชาธิปัตย์

ขาวบ้าง ดำบ้าง จนดูกระดำกระด่างเป็น “สีเทา”

เริ่มจากก้าวแรกบนเก้าอี้กำนันตำบลท่าสะท้อน อำเภอพุนพิน จังหวัดสุราษฎร์ธานี อันเป็นถิ่นฐานบ้านเกิด สืบทอดตำแหน่งจากผู้เป็นบิดา

จัดเป็น “กำนันดีกรีปริญญาโท” คนแรกๆของเมืองไทย

ในฐานะรัฐศาสตรบัณฑิต จากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และมหาบัณฑิตทางการบริหาร จากมหาวิทยาลัยมิดเดิลเทนเนสซี สหรัฐอเมริกา ก่อนก้าวสู่การเมืองระดับชาติเป็น ส.ส.สุราษฎร์ธานี เขต 2 พรรคประชาธิปัตย์ ตั้งแต่ปี พ.ศ.2522 และประเดิมเก้าอี้รัฐมนตรีครั้งแรกในปี 2529 ในตำแหน่ง รมช.เกษตรและสหกรณ์

และบนเก้าอี้ รมช.เกษตรฯที่นายสุเทพนั่งเบิ้ลถึง 2 รอบ ก็นำมาซึ่งผลงานโบดำอันลือลั่น

นั่นคือโครงการ สปก.4-01 เอาที่ดินหลวงซึ่งปฏิรูปเพื่อแจกให้เกษตรกรยากจน ไปแจกให้คนใกล้ชิดและตระกูลเศรษฐีในจังหวัดภูเก็ต เป็นเรื่องฉาวโฉ่โดนเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ จนรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ในยุคที่นายชวน หลีกภัย เป็นนายกรัฐมนตรี สมัยแรก ต้องยุบสภา ล่มไม่เป็นท่า

และสุดท้ายศาลฎีกาได้มีคำพิพากษาให้เศรษฐีที่ได้ที่ดิน สปก.4-01 คืนที่ดินให้ทางการ ตอกย้ำความผิด ทุจริตชัดเจน

เป็นผลงานอัปยศที่ติดโลโก้ “สุเทพ เทือกสุบรรณ” มาถึงปัจจุบัน

ประเภทที่ว่า ถ้ามีเรื่องลับๆล่อๆในยุคของรัฐบาลพรรคประชา-ธิปัตย์จะมีชื่อของ “สุเทพ เทือกสุบรรณ” เข้าไปพัวพันนัวเนียแทบจะตลอด

จนเป็นเหมือนเครื่องหมายการค้ายี่ห้อ “เทพเทือก”

นั่นว่ากันต่อเนื่องมาถึงเรื่องฮุบที่ดินเขาแพง เกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี และกรณีทุจริตโครงการก่อสร้างโรงพักและแฟลตตำรวจทั่วประเทศ

โดนแฉประจาน ชาวบ้านเชื่อมากกว่าไม่เชื่อ

เรื่องของเรื่อง โดยปรากฏการณ์ก็อย่างที่นายสุเทพปราศรัยกับมวลชน  กปปส.ด่าระบอบทักษิณโกงอย่างนั้นโกงอย่างนี้ แล้วก็การันตีตัวเองว่า ตั้งแต่เล่นการเมืองมาไม่เคยมีเรื่องทุจริตคอร์รัปชัน โกงชาติ

มีคนนั่งฟังตะโกนสวนขึ้นไปบนเวที “อย่าเยอะ”

นี่คือการยืนยันเครดิตของคนชื่อ “สุเทพ  เทือกสุบรรณ” ได้เป็นอย่างดี

เขาไม่ใช่พวก “น้ำดี” ในสายตาของสังคมมาแต่ไหนแต่ไร

แต่ในจุดด้อย ก็มีจุดเด่นมาชดเชย ด้วยความเป็นคนใจนักเลง ใจถึง พึ่งได้ ทำให้นายสุเทพครองสถานะเป็นขุนพลตัวหลักในพื้นที่ปักษ์ใต้ของพรรคประชาธิปัตย์ ได้รับการจัดสรรเก้าอี้รัฐมนตรีกระทรวงใหญ่ๆทุกครั้งที่ได้เป็นรัฐบาล

และนั่นก็เป็นโปรไฟล์ให้นายสุเทพไต่ขึ้นเป็นเลขาธิการพรรครับบทแม่บ้านใหญ่

ที่แปลกก็คือยังไม่เคยนำทัพชนะในสนามเลือกตั้ง แต่เป็นผู้มีบทบาทสำคัญอยู่เบื้องหลัง “อุ้มคู่บุญ” อย่างนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในฐานะหัวหน้าพรรค ให้ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี

ในการ “พลิกขั้ว” จัดรัฐบาลในค่ายทหาร แย่งอำนาจมาจากมือของฝ่าย “ทักษิณ”

โดยเฉพาะกับฉากการกอดกันกลมระหว่างเทพบุตรอย่างนายอภิสิทธิ์กับบุรุษที่ชื่อ “เนวิน ชิดชอบ” ภาพยังติดตาตรึงใจผู้คนในสังคมไทยมาจนวันนี้

ถ้าไม่มี “เทพเทือก” วันนั้น “อภิสิทธิ์” ก็คงยากจะถึงฝั่งฝัน

พูดได้ว่านายสุเทพสามารถสร้างจุดพลิกผันทางการเมือง สร้างสีสันฉูดฉาดตลอดเวลา

ครบสูตรทั้งเกมบนดินและใต้ดิน

ที่แน่ๆโดยบทบาทในช่วงหลังๆ ชัดเจนว่า นายสุเทพถูกจัดเป็นศัตรูเบอร์ต้นๆ ของเครือข่าย “ทักษิณ”

โดยเฉพาะกับบทของรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง รั้งตำแหน่งผู้อำนวยการ ศอฉ.

ผู้ประกาศขอรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียวในเหตุสลายการชุมนุมกลุ่มคนเสื้อแดงจนมีคนตายเกือบร้อยศพ

ผลก็คือคดีเป็นหางว่าว นายสุเทพมีคิวต้องขึ้นศาลยาวเหยียด

สภาพเหมือนคนที่ก้าวขาเข้าคุกไปแล้วข้างหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้มีผลให้คนใจนักเลงยี่ห้อ“เทพเทือก” ออกอาการฝ่อแต่อย่างใด  ตรงกันข้ามเขากลับประกาศสู้กับระบอบทักษิณแบบตาต่อตา ฟันต่อฟัน ถึงขั้นประกาศเดิมพันด้วยชีวิต

นับแต่วันที่พรรคเพื่อไทย ลูกข่าย “ทักษิณ” ขยับเดินหน้าผลักดันร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฯ นายสุเทพก็ตั้งธงขวางลำแบบสุดฤทธิ์สุดกำลัง

เปิดฉากสู้ทุกรูปแบบทั้งเกมในสภา เกมนอกสภา

ทั้งๆที่นาทีแรกก็มีเครื่องหมายคำถามว่า สู้จริงหรือแค่สับขาหลอก เพราะตัวของนายสุเทพเองก็อยู่ในข่ายได้รับอานิสงส์เต็มๆจากกฎหมายนิรโทษกรรมฯ ถ้าผ่านสภาได้ก็มีสิทธิพ้นจากบ่วงกรรมคดี 91 ศพ จากเหตุสลายการชุมนุมกลุ่มคนเสื้อแดง

แต่เบื้องหลังที่รู้กันวงใน นายสุเทพได้เดินหมากต้านเกมนิรโทษกรรมฯมาต่อเนื่อง ในฐานะโต้โผใหญ่ในการจัดเวทีผ่าความจริงของพรรคประชาธิปัตย์ตระเวนจัดปราศรัยไปทั่วหัวเมือง

“อุ่นเตา” เร้ากระแสต้านนิรโทษกรรมมาเรื่อยๆอย่างมุ่งมั่น

และทันทีที่ลูกข่าย “นายใหญ่” แบไต๋เข็น พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฯฉบับเหมาเข่งสุดซอย กระตุกอารมณ์พลุ่งพล่านของพลังเงียบในสังคมที่อัดอั้นเต็มที

สถานการณ์เปิดทางให้ “ฮีโร่” อย่างช่วยไม่ได้

นาทีนั้นแทบไม่ต้องคิดมาก นายสุเทพสั่งตั้งเวทีต้านนิรโทษกรรมฯที่ข้างสถานีรถไฟสามเสน ถอดสูทกระโดดขึ้นเวทีปราศรัยในบทผู้นำม็อบเต็มตัว ยืนยันว่าจะทุ่มหมดหน้าตัก ขอคัดค้านร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฯ จนถึงที่สุดจนกว่าจะชนะ หากไม่ชนะก็ไม่เลิก ยุให้ประชาชนทั่วประเทศลุกขึ้นมาร่วมกันต่อสู้

ลาออกจาก ส.ส. ควักเนื้อขายที่ดินสมบัติส่วนตัวมาเป็นทุนนำม็อบเอง

จุดนี้ทำให้มวลชนยอมรับ กระแสจุดติดพรึ่บพรั่บ และนายสุเทพยังให้คนขนของออกจากพรรคประชาธิปัตย์ ตัดขาดจากต้นสังกัด ประกาศเลิกเล่นการเมือง ไม่ขอมีตำแหน่งใดๆอีกต่อไป

มุ่งล้างระบอบทักษิณทำความดีเพื่อแผ่นดินอย่างเดียว

เท่านี้อารมณ์ค้างคาใจในภาพดำๆขาวๆออกสีเทาของ “เทพเทือก” หายไปทันที

มีแต่เสียงเยินยอเรียก “กำนันเทพ” กันเซ็งแซ่

และด้วยบุคลิกของขาบู๊ดุดันสไตล์นักเลงบ้านนอกเป็นทุนเดิม บวกกับเสียงนกหวีด เสียงเชียร์จากมวลมหาประชาชน ก็ยิ่งกระตุกต่อมฮึกเหิม “กำนันเทพ”

ลุยแบบไม่กลัวคุกตะราง ไม่สนหมายจับข้อหา “กบฏ” ค้างอยู่

“กำนันเทพ” ยึดบทแกนนำม็อบขาใหญ่แทน เบียดเจ้าตำรับเก่าอย่าง “เดอะลิ้ม” นายสนธิ ลิ้มทองกุล  อดีตผู้นำม็อบพันธ-มิตรฯ เสื้อเหลือง ต้องหลบไปเลาะๆอยู่ขอบเวที

สร้างรูปแบบใหม่ในการเคลื่อนมวลชนเข้ายึดสถานที่ราชการสำคัญๆ สำนักงบประมาณ กระทรวงการคลัง  กระทรวงมหาดไทย  ศูนย์ราชการฯ  กองบัญชาการตำรวจนครบาล   ทำเนียบรัฐบาล ไม่เว้นแม้แต่กองบัญชาการกองทัพบกยังโดนม็อบบุกเข้าไปได้ โดยไม่กลัวใครหน้าไหน

แถมยังลุยแบบไม่หยุด ไม่สนแม้นายกฯยิ่งลักษณ์จะยุบสภา

ตั้งหน้าตั้งตาชูธง “สภาประชาชน-ปฏิรูปประเทศ” สถานเดียว

แต่ที่เล่นเอาคนดูทางบ้านตะลึง อึ้งกับฉากที่ “กำนันเทพ”  นั่งอ่านประกาศคำสั่ง  กปปส. ด้วยลีลาเข้มๆ น้ำเสียงดุดัน อ้างอำนาจมวลมหาประชาชนสั่งปลดนายกรัฐมนตรีพ้นตำแหน่ง

สั่งให้ข้าราชการทั่วประเทศหยุดงาน และให้ผู้บัญชาการเหล่าทัพมารายงานตัวกับ กปปส. แถมตั้งขอหากบฏให้ “ยิ่งลักษณ์” ฐานไม่ปฏิบัติตาม

อารมณ์ไม่ต่างจากคำสั่งของคณะรัฐประหาร

สถานการณ์เลยก้ำกึ่ง จากบทเข้มเกินพิกัดของ “กำนันเทพ” เลยถูกมอง “เพี้ยน” ไปแล้วหรือเปล่า

เอาเป็นว่า เขาเล่นได้ทุกบท เป็นผู้สร้างสีสัน จุดเปลี่ยนทางการเมืองที่สำคัญ

ด้วย “ลูกบ้า” เที่ยวสุดท้าย แม้เหตุจะเกิดในห้วงเวลาสั้นๆ

ไม่กี่เดือนก่อนสิ้นปี แต่ก็ตรงตามเงื่อนไขของ “ทีมข่าวการเมืองไทยรัฐ”

“บุคคลการเมืองแห่งปี 2556” จึงเป็นใครไม่ได้นอกจากคนชื่อ “สุเทพ เทือกสุบรรณ”.

...

"ทีมการเมือง"