เป็นที่ฮือฮา เมื่อหนุ่มวัย 44 ปี เจ้าของบาร์ บนเกาะสมุย เจอก้อนประหลาดน้ำหนักกว่า 10 กิโลกรัม ถูกคลื่นซัดมาติดอยู่บนก้อนหินริมชายหาดแหลมกากี เมื่อประมาณ 1 ปีที่ผ่านมา และปัจจุบันยังคงเก็บไว้ในบ้าน ท่ามกลางความสงสัยว่าจะเป็นอ้วกวาฬหรือไม่ จากสีเหลืองเข้ม เหมือนก้อนเทียน ก่อนนำมาให้เพื่อนดู และทักว่าอาจจะเป็น "อ้วกวาฬ" ซึ่งเป็นของหายากและมีราคาแพงมากๆ หากเป็น "อ้วกวาฬ" จริงๆ หนุ่มคนนี้คงรับทรัพย์มหาศาล

สำหรับ “อ้วกวาฬ” (Ambergris) หรือชาวบ้านเรียกว่า “อำพันทะเล” ทางกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ให้ข้อมูลว่าเป็น “อึ” หรือ “อาเจียน” ของวาฬหัวทุย หรือวาฬสเปิร์ม ซึ่งขึ้นอยู่กับว่าจะออกมาทางใด โดยวาฬชนิดนี้มักกิน “ปลาหมึก" และไขมันหมึกย่อยสลายไม่ได้ จึงถูกสะสมบริเวณลำไส้และถูกขับถ่ายออกหรือสำรอกออกมา โดยเมื่อแรกที่ถูกขับจะมีกลิ่นเหม็น แต่เมื่อเวลาผ่านไปเป็นเดือนหรือเป็นปี ได้เกิดปฏิกิริยากับอากาศแสงแดด ระหว่างล่องลอยอยู่ในทะเล

นอกจากนี้ด้วยค่าความถ่วงจำเพาะที่มีน้อยกว่าน้ำทะเล จึงมีคุณสมบัติทางเคมีเปลี่ยนไป ทำให้มีลักษณะเป็นก้อนแข็งสีขาว น้ำตาล เทา หรือดำ ตามระยะเวลาในการทำปฏิกิริยาจนหายเหม็นแล้ว จะมีกลิ่นหอมคล้ายสารจำพวกน้ำมันหอมระเหย ใช้เป็นวัตถุดิบในการสกัดหัวน้ำหอม หรือนำไปแต่งกลิ่นในอาหารหรือไวน์ เป็นที่ต้องการของตลาด จึงทำให้อำพันทะเล มีมูลค่าสูงมากถึงกิโลกรัมละหลายหมื่นบาท และยังเป็นดัชนีชี้วัดถึงความอุดมสมบูรณ์ของชายฝั่งและท้องทะเลได้ด้วย

ขณะที่บางข้อมูล ระบุว่าราคาของ “อ้วกวาฬ” ซึ่งเป็นของหายาก ซื้อขายกันถึงหลักล้านต่อกิโลกรัม จากกลิ่นของมูลสัตว์หรือจากการสำรอกที่ส่งกลิ่นเหม็นมากๆ ซึ่งมีลักษณะเป็นของแข็ง มีส่วนประกอบของคอเลสเตอรอลและไขมันมากถึง 80% ดูด้วยตาเป็นเหมือนก้อนไขมันมีหลายสีทั้งสีเทา สีดำ ไปจนถึงสีโทนอ่อนสีส้ม หรือสีขาวคล้ายหินอ่อน แต่เมื่อทิ้งไว้ไประยะเวลาหนึ่งจะมีกลิ่นหอม มากๆ เพราะมีสารเบนโซอิก และแอลกอฮอล์เชิงซ้อนทำให้มีกลิ่นหอม เป็นที่ต้องการในอุตสาหกรรมน้ำหอม นำไปเป็นส่วนผสมในการทำน้ำหอมและเครื่องสำอาง

ด้าน ดร.สหภพ ดอกแก้ว นักวิชาการประมงชำนาญการ คณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวกับทีมเจาะประเด็นไทยรัฐออนไลน์ ว่า ในเมืองไทยมีโอกาสเจอ “อ้วกวาฬ” และกรณีหนุ่มเจ้าของบาร์ บนเกาะสมุย พบเจอก้อนประหลาดนั้นมีความเป็นไปได้ที่จะเป็นอ้วกวาฬ อาจลอยมาจากมหาสมุทรแปซิฟิก มายังเกาะสมุย ซึ่งอยู่กลางอ่าวไทย อีกทั้งอ้วกวาฬ เป็นไขมันที่ไม่ย่อยสลาย ไม่เหมือนไขมันของสัตว์ทะเลอื่นที่ย่อยสลายง่าย จึงไม่น่าใช่ไขมันจากสัตว์ทะเลอื่นแน่นอน

...

“วาฬทุย หรือวาฬสเปิร์ม ชอบกินปลาหมึก เมื่อกินเข้าไปมีส่วนแข็งของปลาหมึกไปตำคอ ร่างกายของมันจึงสร้างไขมันไปเคลือบไม่ให้ระคายเคือง เมื่อมันถ่ายหรือสำรอกออกมา ตอนแรกจะเหม็นมากๆ แต่เมื่อทำปฏิกิริยากับอากาศ จึงหายเหม็นกลายเป็นสารตั้งต้นน้ำหอม มีราคาแพงตั้งแต่หลักหมื่น หลักแสน หรือหลักล้าน เพราะถือเป็นสินค้าฟุ่มเฟือย ราคาจึงขึ้นอยู่กับความพึงพอใจของผู้ขายและผู้ซื้อ”

ส่วน ผศ.ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ นักวิชาการด้านทะเลและสิ่งแวดล้อม ระบุในเพจของตัวเอง ว่า วาฬหัวทุย หรือวาฬสเปิร์ม มีรายงานพบในเมืองไทยบ้าง แต่น้อย กินปลาหมึกกล้วยยักษ์เป็นอาหาร แต่ย่อยปลาหมึกไม่ได้ บางตัวจึงปล่อยสารไขมันบางอย่างมาเคลือบไว้ เมื่อเวลาผ่านไป ก้อนอำพันในท้องใหญ่ขึ้น จนอาจมีขนาดถึง 50 กิโลกรัม ซึ่งไม่ใช่วาฬหัวทุยทุกตัวที่มีอำพันทะเล ผู้เชี่ยวชาญด้านนี้ระบุว่ามีแค่ 1% ที่มี โดยก้อนอำพันจะอยู่ในตัววาฬจนตาย เมื่อวาฬเน่า จะหลุดออกมา เนื่องจากเป็นก้อนไขมัน จะลอยน้ำไปเรื่อยๆ อาจลอยได้เป็นปี จึงไม่จำเป็นว่าอำพันก้อนนี้ ต้องเป็นของวาฬในไทย อาจเป็นวาฬในทะเลจีนใต้ หรือในมหาสมุทร

“ช่วงแรกจะมีสีคล้ำและมีกลิ่นเน่าทั่วไป แต่เมื่อโดนแดดโดนลมมานาน กลิ่นจะเริ่มเปลี่ยน ก้อนอำพันจะกลายเป็นสีเหลืองหรือสีเทา กลิ่นเหม็นจะหายไป อำพันทะเลมีองค์ประกอบทางเคมีที่สามารถนำมาใช้ในวงการน้ำหอม ทำให้น้ำหอมติดนาน สมัยก่อนราคาแพงมาก ปัจจุบันมีการสังเคราะห์สารขึ้นมาแทน แต่อำพันทะเลก็ยังแพงอยู่ดี มีการประมูลขายจากผู้เจอ ก้อนขนาดหนึ่งกิโล ขายได้หลายแสนบาท ซึ่งปกติเราจะเจอตามชายหาด แต่ต้องฟลุกเจอ ไม่ใช่เรื่องง่าย”

อย่างไรก็ตามการพิสูจน์ทำได้โดยดูจากเศษปลาหมึกในก้อน หรือวิเคราะห์องค์ประกอบทางเคมี ซึ่งแน่นอนว่าก่อนขายคงต้องมีการพิสูจน์ แต่ดูจากภาพกรณีของหนุ่มเจ้าของบาร์ บนเกาะสมุยดังกล่าวมีความเป็นไปได้ สำหรับข้อกฎหมาย วาฬสเปิร์มหรือวาฬหัวทุย เป็นสัตว์คุ้มครองฯ รวมทั้งซาก และได้ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญแล้ว ซากในที่นี้ไม่น่าจะรวมถึงอำพันทะเล และก่อนหน้านี้เมืองไทยก็เคยเจอ น่าจะเป็นแถวอันดามัน

”เมื่อข่าวออกไป คงมีบริษัทน้ำหอมติดต่อมาและเจรจากันครับ สำหรับเพื่อนธรณ์ที่เดินอยู่ริมทะเล อยากฟลุกบ้าง ขอให้โชคดีนะจ๊ะ ไม่มีคำแนะนำ เพราะถ้าหาง่าย อาจารย์ธรณ์ไปหาเองแล้วครับ” ผศ.ดร.ธรณ์ เขียนทิ้งท้ายไว้ด้วยอารมณ์ขำ

เพราะฉะนั้น หากใครได้พบเจอ “อ้วกวาฬ” ขนาดมหึมา คงได้เป็นเศรษฐีเพียงพริบตา อย่างเมื่อปี 2559 เพจสำรวจโลกรายงานว่า “คาลิด เอล ชินานี่” ชาวประมงในประเทศโอมาน พบ “อ้วกวาฬ” หรืออำพันทะเล น้ำหนักกว่า 60 กิโลกรัม ภายหลังได้กลิ่นแปลกๆ มาแต่ไกล จากนั้นจึงรีบนำเรือออกทะเลไปเก็บมันมา โดยผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่าอ้วกวาฬ ก้อนนี้มีมูลค่ามากกว่า 2 ล้านปอนด์ หรือราว 100 ล้านบาท เลยทีเดียว!!

...

ดังนั้น หากหนุ่มเจ้าของบาร์บนเกาะสมุย มีอ้วกวาฬ ในครอบครองจริงๆ เท่ากับว่า เขาโชคดีมากๆ จะได้เงินประมาณ 16 ล้านบาท จากลาภลอยกลางทะเล คราวนี้หากใครมีโอกาสไปเที่ยวทะเล ก็สังเกตกันบ้าง หากเห็นวัถตุเป็นก้อนๆ อย่างว่านี้ คุณจะเป็นเศรษฐีโดยไม่รู้ตัว...ป่ะไปทะเลกัน.