จีนต้องการข้าวหอมมะลิจากไทย 1.2 ล้านตันต่อปี แต่ไทยสามารถส่งได้เพียง 386,000 ตัน...ในจำนวนนี้เป็นข้าวอินทรีย์ที่จีนให้การยอมรับเพียง 3,000 ตันเท่านั้นเอง
“จากการสำรวจพฤติกรรมผู้บริโภคและตลาดซื้อขายข้าว ชาวจีนให้ความสำคัญข้าวสุขภาพ ข้าวเป็นยามากขึ้น สังเกตได้จากตลาดค้าปลีกข้าวสารในจีนหลายๆแห่ง ข้าวสารทั่วไปราคาขายอยู่ที่ กก.ละ 10 หยวน (ประมาณ 50 บาท) ในขณะที่ข้าวอินทรีย์ราคาขยับขึ้นไปอยู่ 40 หยวน ได้ราคาสูงกว่า 4 เท่า แต่ข้าวอินทรีย์ของไทยที่ส่งไปจีนกลับได้ราคาไม่ต่างจากข้าวสารทั่วไป”
สาเหตุที่เป็นเช่นนั้น นายกฤษณพงษ์ ศรีพงษ์พันธุ์กุล รองอธิบดีกรมการข้าว อธิบายว่า แม้ข้าวอินทรีย์ของไทยที่ส่งออกไปจีนจะมีตรารับรองออร์แกนิกไทยแลนด์ หรือไอโฟมก็ตาม...แต่หากไม่มีตราสัญลักษณ์การรับรองมาตรฐานอินทรีย์จีน ข้าวที่ส่งเข้าไปจะถูกจัดเกรดให้อยู่ในระดับเดียวกับข้าวทั่วไป
เมื่อถามว่าที่ผ่านมาไทยส่งข้าวอินทรีย์ไปจีนบ้างหรือไม่?
คำตอบ...ขณะนี้มีเพียง 4 บริษัท สามารถส่งออกข้าวอินทรีย์ไปได้แค่ปีละ 3,000 ตันเท่านั้น ที่สามารถขายได้ราคาสูงในราคาข้าวอินทรีย์
...
เพราะเอกชนกลุ่มนี้ได้ทำมาตรฐานอินทรีย์ร่วมกับจีน...ไม่ใช่เราทำกันเองแต่ฝ่ายเดียว
ในเมื่อตลาดจีนมีความต้องการข้าวเพื่อสุขภาพ ฉะนั้นเพื่อให้ตลาดข้าวอินทรีย์ไทยเติบโต ส่งออกไปมากคุ้มราคาที่ชาวนา อุตส่าห์ลงแรงทำ นายกฤษณพงษ์ เสนอว่า หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในเรื่องมาตรฐานข้าวอินทรีย์จะต้องหันมาทำความเข้าใจและรับฟังความคิดเห็นของฝ่ายจีนที่ได้เสนอวิธีการมา 2 แบบ
แบบแรก...จัดทำมาตรฐานข้าวอินทรีย์ร่วมกันระหว่างไทย-จีน
“ฝ่ายจีนได้เสนอขอที่จะจัดทำ แต่ยังติดอยู่ที่หน่วยงานภาครัฐของไทยที่เกี่ยวข้องหลายหน่วยงาน ยังมีความเห็นไม่ตรงกัน ทั้งที่ไม่ใช่เรื่องยากเพราะเรามีหน่วยรับรอง CB (Certification Body) ที่สามารถเปิดให้จีนเข้ามาติดตามระบบการตรวจสินค้า วิธีนี้การส่งออกรวดเร็ว เพราะช่วยลดขั้นตอนการตรวจสอบสินค้าที่ปลายทาง”
อีกแบบ...จัดทำโครงการแลก เปลี่ยนซื้อขายสินค้าซึ่งกันและกัน
“นี่ก็เป็นอีกวิธีที่จีนเสนอให้กระทรวงเกษตรฯของทั้งสองประเทศมาเจรจาร่วมกันแลกเปลี่ยนซื้อขายสินค้ากัน ไทยมีหน้าที่พัฒนาการผลิตข้าวอินทรีย์ให้เป็นไปตามมาตรฐาน COFCC (China Organic Food Certification Center) หน่วยงานภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงเกษตรจีน ส่วนไทยมีสำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช.) ร่วมตรวจสอบรับรองตั้งแต่ต้นทาง”
แต่ทั้งหมดทั้งปวงนี้ จะเกิดขึ้นได้เร็วแค่ไหน ข้าวอินทรีย์ไทยจะได้ขึ้นห้างจีนแบบมีศักดิ์ศรีหรือไม่ ขึ้นอยู่กับความชักช้าของหน่วยราชการไทยเท่านั้น...เพราะจีนพร้อมที่จะอ้าแขนรับทุกเวลา.
เพ็ญพิชญา