เพิ่งจบไปในไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา สำหรับงานเปิดตัวผลิตภัณฑ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งปีของแอปเปิล ค่ายเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ที่มักจะสร้างเสียงฮือฮาให้คนทั้งโลก....
และครั้งนี้ก็เช่นกัน...
งานครั้งนี้จัดขึ้นในวันที่ 12 กันยายน 2561 (12.00 น. ตามเวลาท้องถิ่นของสหรัฐอเมริกา หรือประมาณเที่ยงคืนตามเวลาประเทศไทย) ที่ สตีฟ จ็อบส์ เทียเตอร์ (Steve Jobs Theater) แอปเปิล พาร์ก เมืองคูเปอร์ติโน แคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา อันเป็นสถานที่การเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ โดยมีผู้สื่อข่าวจากสำนักต่างๆ ทั่วโลก เข้าร่วมงานเป็นจำนวนมาก
...
เปิดตัวด้วยวิดีโอโฆษณาที่โชว์ความยิ่งใหญ่ของสำนักงานแห่งใหม่ Apple Park เสริมด้วยทำนองเพลงคุ้นหูจากหนังดังเรื่อง Mission Impossible ถือเป็นวิดีโอที่อวดความยิ่งใหญ่ของสำนักงานใหญ่แห่งใหม่นี้ได้ดี จากนั้นไม่นาน ทิม คุก CEO ของแอปเปิล ก็ได้ขึ้นมากล่าวต้อนรับ พร้อมกับแสดงวิสัยทัศน์เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์รุ่นที่ผ่านๆ มา ก่อนจะเข้าสู่การเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่
Apple Watch Series 4
ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งแรกเกี่ยวกับรูปร่างหน้าตาของ Apple Watch Series 4 และ watchOS 5 ด้วยหน้าจอที่โค้งมนมากขึ้น มีขนาดใหญ่ขึ้น 30% ดังนั้นรุ่นใหม่จึงจะมีขนาด 40 มม. และ 44 มม. ส่วนปุ่ม Digital Crown ด้านข้างจะมีขอบสีแดงและตอบสนองการสั่นได้
ด้านหลังของนาฬิกาทำจากเซรามิคสีดำ ปล่อยคลื่นวิทยุผ่านด้านหน้าและด้านหลัง ทำให้สัญญาณโทรศัพท์เข้าถึงได้ดีกว่าที่ผ่านมา แถมลำโพงยังดังขึ้นมากถึง 50% (ปรับแต่งมาเพื่อการโทรและการใช้งาน Siri โดยเฉพาะ)
Apple Watch Series 4 มาพร้อมชิพ S4 เจเนอเรชั่นถัดไปที่มีโปรเซสเซอร์ 64 บิตแบบ Dual-core ที่ปรับแต่งมาเฉพาะ จึงประมวลผลได้เร็วกว่าเดิม 2 เท่า แต่ยังคงมีแบตเตอรี่ที่ใช้งานได้ยาวนานตลอดวัน
ฟีเจอร์ตรวจวัดการเต้นของหัวใจก็เช่นกัน ถูกอัพเกรดให้มีการตรวจจับที่ละเอียดมากขึ้น สามารถดูความผิดปกติของหัวใจเบื้องต้นได้ อีกทั้งแอพสามารถวิเคราะห์ได้ว่า การเต้นของหัวใจของผู้ใช้อยู่ในภาวะปกติ หรือมีสัญญาณผิดปกติ
มีระบบ ECG แบบพกพา สามารถเก็บรายละเอียดคลื่นหัวใจ พร้อมบันทึกและเก็บเป็นไฟล์ PDF เพื่อส่งไปยังแพทย์ของคุณได้ (พร้อมใช้ในปีนี้สำหรับลูกค้าในสหรัฐอเมริกา) และอีกหนึ่งข้อดี คือ มีการตรวจจับการล้มใช้ประโยชน์จากอุปกรณ์ตรวจจับการเคลื่อนไหวและไจโรสโคปเจเนอเรชั่นใหม่ ซึ่งสามารถวัดการล้มได้ เพราะถ้าหากระบบตรวจจับแล้วว่า มีการล้มหรือตกจากที่สูง และไม่ขยับเป็นเวลา 60 วินาที ระบบจะส่งสัญญาณไปยัง Siri เพื่อขอความช่วยเหลือ
...
...
ส่วนเรื่องของแบตเตอร์รี่...ยังคงยืนยันว่าจะสามารถใช้ได้เต็มวันแน่นอน
ตัวเรือนอะลูมิเนียมชุบผิวที่มีให้เลือก 3 สี ได้แก่ สีเงิน สีทอง และสีเทาสเปซเกรย์ เปิดให้จองวันที่ 14 กันยายน และพร้อมวางขายวันที่ 21 กันยายน (สำหรับผู้ที่กังวลว่าสายเดิมจะนำมาใช้กับตัวเรือนที่ใหญ่ขึ้นได้หรือไม่ ตอบเลยว่าขนาดของสายยังคงเท่าเดิม)
ต่อกันที่ไอโฟนตัวใหม่ iPhone Xs และ iPhone Xs Max
iPhone XS ขนาด 5.8 นิ้ว และ iPhone XS Max ขนาด 6.5 นิ้ว (ในขณะที่ไซส์ของโทรศัพท์มีขนาดเดียวกับ iPhone 8 Plus ซึ่งมีหน้าจอขนาด 5.5 นิ้วเท่านั้น) โดดเด่นด้วยจอภาพ Super Retina มีระบบกล้องคู่ที่เร็วขึ้น, ชิพ A12 Bionic ซึ่งเป็นชิพแบบ 7 นาโนเมตรตัวแรกในสมาร์ทโฟน พร้อม Neural Engine เจเนอเรชั่นถัดไป, ผู้ใช้สามารถใช้งาน Face ID ได้เร็วขึ้น, มีเสียงสเตอริโอที่ให้มิติเสียงกว้างขึ้น
และสิ่งที่น่าสนใจ คือ เป็นการมาพร้อมซิมคู่เป็นครั้งแรกสำหรับไอโฟน
พูดถึงกล้องหลังที่มีความละเอียด 12 ล้านพิกเซล พร้อมระบบป้องกันภาพสั่นไหวคู่แบบออปติคอล และการซูมแบบออปติคอล 2 เท่า ในขณะที่เซ็นเซอร์ใหม่ก็เร็วขึ้น 2 เท่าด้วย อีกทั้งยังเสริมด้วย HDR ที่สมจริงกว่าที่ผ่านมา ส่วนกล้องหน้ายังสามารถใช้โหมดภาพถ่ายบุคคล ที่มาพร้อมการควบคุมระยะชัดลึก ยังสามารถใช้กับการถ่ายเซลฟี่ด้วยกล้อง TrueDepth ได้ด้วย ทั้ง Memoji และการตรวจจับใบหน้าที่รวดเร็วยิ่งขึ้นสำหรับแอพ ARKit
...
ชิป A12 bionic ระดับ 7 นาโนเมตร GPU 4 คอร์, CPU 6 คอร์และ Neural Engine และผลลัพธ์จากชิปประมวลผลตัวใหม่นี้ จะส่งผลให้ไอโฟนทั้ง 2 รุ่นนี้ประมวลผลได้เร็วขึ้นถึง 30% (ดังนั้นการเปิด-ปิดแอพฯ ก็จะไวขึ้นด้วย)
ลักษณะเหมือนสมาร์ทโฟนตัวใหม่นี้ จะมีอีกหนึ่งจุดเด่นอยู่ที่การเล่นเกมส์ ด้วยภาพที่คมชัด ด้วยการเชิญ Todd Howard จาก Bethesda Game Studios (ผู้พัฒนา Fallout และ Skyrim) มาบนเวที เพื่อพูดคุยเกี่ยวกับการพัฒนา iOS ของ Bethesda นอกจากนี้ยังมีการทดลองเล่นเกมส์แนว AR บนเวที เพื่อทดสอบความสามารถของ ARKit และคุณสมบัติใหม่ๆ ที่ใช้การเรียนรู้ของระบบแบบเรียลไทม์ด้วย
โดยทั้ง iPhone XS และ iPhone XS Max จะเปิดให้สั่งซื้อล่วงหน้าในวันศุกร์ที่ 14 กันยายน และเริ่มวางจำหน่ายในร้าน ตั้งแต่วันศุกร์ที่ 21 กันยายน เป็นต้นไป
ราคาเริ่มต้นที่ 999 ดอลลาร์สหรัฐ สำหรับ iPhone Xs และราคา 1,099 ดอลลาร์สหรัฐสำหรับ iPhone Xs Max
ไฮไลท์ของคืนนี้อยู่ที่ iPhone Xr ที่มีถึง 6 สี
วัสดุเป็นอะลูมิเนียมซีรีส์ 7000 เกรดเดียวกับที่ใช้ในอุตสาหกรรมอวกาศ ส่วนด้านหลังที่เป็นกระจก ก็ทำให้สามารถชาร์จแบบไร้สายได้ ที่ไซส์เท่ากับ iPhone 7 และ 8 ส่วนหน้าจอเป็น LCD แบบไร้ขอบขนาด 6.1 นิ้ว มีหน้าตาไม่ต่างจาก iPhone X รุ่นปัจจุบัน เพียงแค่มีกล้องหลังเพียงตัวเดียว ใช้ชิปประมวลผลเดียวกับรุ่นที่บอกไปด้านต้น แสดงว่าเครื่องแรงไม่ต่างกัน
iPhoen Xr มีให้เลือกใน 6 สีใหม่ ได้แก่ สีขาว สีดำ สีฟ้า สีเหลือง สีส้มคอรัล และรุ่น (PRODUCT) RED โดยมีการใช้กระบวนการลงสี 7 ชั้น เพื่อให้กระจกด้านหลังมีเฉดสีที่งดงามสะดุดตา
กล้องหลังมาพร้อมเลนส์มุมกว้าง รูรับแสง f/1.8 ความละเอียด 12 เมกะพิกเซล และเซ็นเซอร์แบบใหม่หมด ช่วยให้ออโต้โฟกัสได้เร็วขึ้น
กล้องหน้าเป็น TrueDepth Camera สามารถถ่ายภาพโหมด Portrait ได้สวยงาม และใช้ FaceID ได้
สามารถสั่งจอง iPhone XR ได้ตั้งแต่วันศุกร์ที่ 19 ตุลาคม และจะวางจำหน่ายตั้งแต่วันศุกร์ที่ 26 ตุลาคมเป็นต้นไป
ราคาเริ่มต้นที่ 749 ดอลลาร์สหรัฐ
เตรียมพบกับบทวิเคราะห์ ว่าไอโฟนรุ่นใหม่ รุ่นไหนน่าซื้อที่สุด และเพราะอะไร? ติดตามต่อได้ที่ ไลฟ์สไตล์ไทยรัฐ เร็วๆ นี้.
คิดเห็นอย่างไรกันบ้าง ตรงกับที่คาดการณ์ไว้แค่ไหน? ถามใจคุณดู.
เรื่องน่าสนใจ : ไฮไลต์! 'เปิดตัว iPhone 2018' เปรียบเทียบความต่างของ 3 รุ่นใหม่