ผู้สื่อข่าวรายงานจากกระทรวงพาณิชย์ว่า เมื่อเร็วๆนี้ รัฐบาลจีนได้ปรับอัตราภาษีศุลกากรปี 61 โดยได้ปรับขึ้นภาษีนำเข้าข้าวและผลิตภัณฑ์ จากอัตรา 5% เป็น 50% มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค.61 ส่งผลให้ภาษีนำเข้าข้าวและผลิตภัณฑ์รวม 5 รายการ ภายใต้ความตกลงการค้าเสรี (เอฟทีเอ) อาเซียน-จีน เพิ่มขึ้นจาก 5% เป็น 50% ด้วย ซึ่งได้แก่ ข้าวเปลือกสำหรับทำพันธุ์ของข้าวอื่นๆ, ข้าวเปลือกอื่นๆของข้าวอื่นๆ, ข้าวกล้องของข้าวอื่นๆ, ข้าวที่ผ่านหรือไม่ผ่านกระบวนการขัดสีและขัดมัน สำหรับสินค้าจากไทยที่จะได้รับผลกระทบ โดยต้องถูกเรียกเก็บภาษีนำเข้าจาก 5% เป็น 50% ได้แก่ ข้าวกล้องของข้าวอื่นๆ, ข้าวที่ผ่านหรือไม่ผ่านการขัดสีและขัดมันที่เป็นข้าวอื่นๆ และแป้งข้าวเจ้าอื่นๆ ซึ่งในปี 60 จีนนำเข้าจากไทย รวมถึงเวียดนาม เมียนมา สหรัฐฯ และญี่ปุ่น ซึ่งในส่วนของไทยเป็นการส่งออกโดยภาคเอกชน
นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กล่าวว่า การที่จีนปรับอัตราภาษีดังกล่าว เป็นการปรับให้สอดคล้องกับองค์กรศุลกากรโลก (ดับบลิวซีโอ) ที่จะต้องปรับทุกๆ 5 ปี เพราะอาจมีผลิตภัณฑ์ใหม่ๆเพิ่มขึ้น ส่งผลให้สินค้าข้าวและผลิตภัณฑ์บางรายการที่อยู่ภายใต้เอฟทีเออาเซียน-จีน ต้องปรับขึ้นตาม โดยกรมฯได้หารือกับกรมศุลกากรของไทย เพื่อให้ช่วยตรวจสอบกรณีดังกล่าวด้วย เพราะเป็นเรื่องทางเทคนิค ขณะเดียวกัน กรมฯอยู่ระหว่างพิจารณาว่า การปรับขึ้นภาษีข้าวภายใต้เอฟทีเออาเซียน-จีน ขัดกับพันธกรณีที่จีนตกลงไว้ในความตกลงหรือไม่ “ตอนนี้ต้องดูพันธกรณีที่จีนตกลงในเอฟทีเออาเซียน-จีนก่อนว่าผูกพันภาษีข้าวและผลิตภัณฑ์ไว้อย่างไร จะทยอยลดจนเหลือภาษีสุดท้ายที่เท่าไร เพราะข้าวและผลิตภัณฑ์เป็นสินค้าอ่อนไหวและอ่อนไหวสูงที่จีนยังคงภาษีอัตราสูงเพื่อไม่ให้กระทบเกษตรกรในประเทศ แต่ถ้าการขึ้นภาษีครั้งนี้ขัดกับพันธกรณีของจีน เราต้องขอหารือเรื่องนี้”
ด้านนายกีรติ รัชโน รองอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ กล่าวว่า การปรับขึ้นภาษีดังกล่าวจะไม่กระทบต่อการส่งออกข้าวของไทยตามสัญญาซื้อขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) กับรัฐบาลจีน เพราะสินค้าที่ขึ้นภาษีส่วนใหญ่ไทยไม่ได้ส่งออก อีกทั้ง บริษัท คอฟโก ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจในการซื้อขายข้าวของรัฐบาลจีน จะมีโควตานำเข้าให้ไทยอยู่แล้ว และเสียภาษีนำเข้าเพียง 1% ส่วนรายการที่จีนปรับขึ้นภาษี ไทยมีการส่งออกไปจีนน้อยมาก เช่น แป้งข้าวเจ้าอื่นๆ หรือข้าวกล้องของข้าวอื่นๆ เป็นต้น.