ไทยรัฐฉบับพิมพ์
“สิงโตคำราม” อังกฤษ ไล่ ขย้ำ “ไวกิ้ง” สวีเดน ไปแบบสบายๆ 2-0 ทะยานเข้าสู่รอบรองชนะเลิศได้สำเร็จเป็นครั้งแรกในรอบ 28 ปี ในศึกฟุตบอลโลก 2018 เมื่อ 7 ก.ค.ที่ผ่านมา ขณะที่ “โรเบร์โต มาร์ติเนซ” กุนซือเบลเยียม ปลื้มลูกทีม “ปิศาจแดงแห่งยุโรป” สู้สุดใจจนพาทีมคว่ำบราซิล 2-1 ชี้ไม่ยอมปิดฉากแค่รอบตัดเชือกแน่นอน ขณะที่ “เควิน เดอ บรอยน์” ห้องเครื่องตัวสำคัญลั่นทั้งโลกได้เห็นแล้วว่าเบลเยียมแกร่งแค่ไหน ด้าน “โทมัส มูเนียร์” รับจัดการ “เนย์มาร์” ได้ง่ายกว่าที่คิด ส่วน “ติเต” นายใหญ่แซมบ้า รับลูกทีมจบสกอร์ไม่คมทำทีมพ่ายตกรอบ 8 ทีม พร้อมชมกองหน้าวัย 26 ปีฟื้นจากอาการบาดเจ็บได้อย่างน่าทึ่ง
การแข่งขันฟุตบอลโลกรอบ 8 ทีมสุดท้ายเมื่อเวลา 21.00 น. วันที่ 7 ก.ค. ที่สนามซามารา อารีนา เมืองซามารา สวีเดนที่ชนะสวิตเซอร์แลนด์ มา 1-0 พบกับอังกฤษที่เอาชนะจุดโทษโคลอมเบีย 4-3 หลังจากเสมอในเวลา 120 นาที 1-1 โดยเกมนี้ทัพไวกิ้งมีเอมิล ฟอร์สเบิร์ก มิดฟิลด์ตัวเก่งนำทัพ ส่วน “สิงโตคำราม” ส่งแฮร์รี เคน กองหน้ากัปตันทีมที่ซัดไปแล้ว 6 ประตูคอยล่าตาข่าย
เปิดฉากทั้งสองทีมเปิดโอกาสแลกกันทันที แต่ก็เป็นสวีเดนได้ลุ้นก่อนในนาทีที่ 10 จากวิคตอร์ คลาสสัน แต่บอลเหินข้ามคานไปนิดเดียว นาที 16 อังกฤษได้ลุ้นบ้าง ราฮีม สเตอร์ลิง กระชากหนีแนวรับสวีเดนเปิดให้แฮร์รี เคน สับไกบอลเฉียดเสาไปนิดเดียว แต่แฟนบอลสิงโตก็ได้เฮจนได้ในนาทีที่ 30 แฮร์รี แม็กไกวร์ กระโดดโหม่งลูกเตะมุมเข้าไปตุงตาข่ายให้อังกฤษขึ้นนำ 1-0 หลังจากโดนนำ สวีเดน เปิดเกมเข้าใส่เพื่อหวังจะตีเสมอให้ได้ จนช่วงท้ายครึ่งแรก อังกฤษเกือบนำห่าง สเตอร์ลิงหลุดเดี่ยวไปในเขตโทษแต่ช้าจนจ่ายติด อันเดรียส กรานควิสต์ จบครึ่งแรกอังกฤษนำก่อน 1-0
เปิดฉากครึ่งหลังนาที 48 สวีเดนน่าจะได้ประตูตีเสมอ ลุดวิก ออกุสตินสัน เปิดบอลมาให้มาร์คุส เบิร์ก โขกเต็มๆ จอร์แดน ฟิกฟอร์ด ยังบินมาปัดออก นาทีที่ 58 อังกฤษนำห่าง 2-0 จากจังหวะ เจสซีย์ ลินการ์ด เปิดบอลไปเสาไกล เดเล อัลลี วิ่งสอดหลุดกับดักล้ำหน้าขึ้นโขกเข้าไปตุงตาข่าย หลังจากนั้น สวีเดนโหมเกมรุกเข้าใส่เพื่อหวังจะยิงประตูให้ได้ นาที 69 ได้ลุ้นอีกครั้ง เบิร์กพักบอลลงในเขตโทษก่อนสับไกด้วยซ้าย พิกฟอร์ดยังปัดด้วยปลายนิ้วออกไปได้ ช่วงเวลาที่เหลือทั้งสองทีมก็ไม่สามารถยิงประตูเพิ่มกันได้ จบเกมอังกฤษเอาชนะสวีเดนไป 2-0 ผ่านเข้ารอบรองชนะเลิศเป็นครั้งแรกในรอบ 28 ปีเข้าไปรอพบผู้ชนะระหว่าง “ตาหมากรุก” โครเอเชีย หรือ “หมีขาว” รัสเซีย เจ้าภาพ
ส่วนอีกคู่ก่อนหน้า เมื่อเวลา 01.00 น.วันที่ 7 ก.ค.ตามเวลาประเทศไทย “ปิศาจแดงแห่งยุโรป” เบลเยียม ระเบิดฟอร์มสุดยอดเชือด “แซมบ้า” บราซิล อดีตแชมป์โลก 5 สมัยไปอย่างพลิกล็อกเล็กน้อย 2-1 โดยเบลเยียมได้ประตูจากการทำเข้าประตูตัวเองของแฟร์นันดินโญ ในนาที 13 และเควิน เดอ บรอยน์ นาทีที่ 31 ส่วนแข้งแซมบ้าแก้คืนได้ประตูเดียวจาก เรนาโต ออกุสโต นาที 76 โดยผ่านเข้าไปพบกับ ฝรั่งเศสในรอบรองชนะเลิศในวันที่ 10 ก.ค.นี้
หลังจบเกม โรเบร์โต มาร์ติเนซ เทรนเนอร์ทีมชาติเบลเยียม ได้ออกมาชื่นชมลูกทีมยกใหญ่หลังจากทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม “พวกเขาทำได้และมีหัวใจที่แข็งแกร่ง คุณต้องยอมรับว่านักเตะบราซิลเต็มไปด้วยสุดยอดแข้ง แต่เรายังไม่ยอมแพ้ เราต้องใช้แท็กติกให้เกิดประโยชน์ในการสู้กับพวกเขา มันเสี่ยงมากที่มีการเปลี่ยนแท็กติก แต่นักเตะของเราก็เชื่อมั่นว่ามันจะได้ผล ต้องขอขอบคุณเอเดน อาซาร์ กับโรเมลู ลูกากู ทุ่มเทให้เราอย่างเต็มที่สำหรับการเล่นในตำแหน่งของพวกเขา เราไม่ต้องการกลับบ้านเพียงแค่ชนะบราซิล เราต้องทำทุกอย่างเพื่อเอาชนะในรอบรองชนะเลิศให้ได้ ผมหวังว่าประชาชนชาว เบลเยียมจะเห็นหัวใจนักสู้ที่แข็งแกร่งของผู้เล่นชุดนี้ นักเตะเหล่านี้สมควรเป็นบุคคลที่แสนสำคัญเมื่อกลับไปที่เบลเยียม”
ด้านเควิน เดอ บรอยน์ ดาวเตะทีมชาติเบลเยียม ลั่นทั้งโลกได้เห็นแล้วเบลเยียมแข็งแกร่งแค่ไหน “การเจอกับบราซิล มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย พวกเขาเป็นทีมที่ยอดเยี่ยม แต่วันนี้เราแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่ง พวกเราเล่นได้สุดยอดมากในครึ่งแรก แต่ช่วง 15 นาทีสุดท้าย ถือเป็นบททดสอบสำหรับพวกเรา เราแสดงให้โลกได้เห็นแล้วถึงความสามารถของพวกเรา”
ส่วนทางโทมัส มูเนียร์ วิงแบ็กขวาที่มาทำหน้าที่ตามประกบเนย์มาร์ กองหน้าซุปเปอร์สตาร์ของบราซิล ได้ออกมาเผยรู้สึกผิดหวังนึกว่าจะเจองานยากกว่านี้ “ผมคาดหวังว่าการเจอกับเขา (เนย์มาร์) มันจะยากกว่านี้ แต่พวกเราสามารถจัดการได้ ผมได้รับการช่วยเหลือจากมารูยาน เฟลไลนี และโทบี อัลเดอร์ไวเรลด์ เช่นเดียวกันเราก็หยุดฟิลิเป คูตินโญ และมาร์เซโลได้เช่นกัน”
ด้านติเต กุนซือทีมชาติบราซิล ออกมาชี้ ลูกทีมจบสกอร์ไม่เฉียบคมเป็นสาเหตุของการพ่ายแพ้ “ผมคิดว่ามันยอดเยี่ยมมากเลยทีเดียวสำหรับเกมนี้ เราครองบอลได้ดี และสร้างสรรค์โอกาสได้เยอะ แต่เราจบสกอร์ได้ไม่ดีเท่าไร เมื่อเทียบกับพวกเขามีนักเตะชั้นยอดหลายคน และจบสกอร์กันได้ดี และที่สำคัญมีติโบต์ กูร์กตัวส์ เป็นหนึ่งที่สร้างความแตกต่างให้กับทั้งสองทีม”
พร้อมออกมายืนยันว่า เนย์มาร์ กองหน้าตัวเก่งทำได้ดีกว่าที่ตัวเขาคิดหลังจากเพิ่งหายจากอาการบาดเจ็บหนัก “เราได้เห็นพัฒนาการของเขา (เนย์มาร์) ค่อนข้างชัดเจน เขาเป็นนักเตะที่มีประสิทธิภาพที่ยอดเยี่ยม เขามีความฟิตร้อยเปอร์เซ็นต์ เขาสามารถกลับมาเลี้ยงบอลในความเร็วที่ยอดเยี่ยมอีกครั้ง เขากลับมาจากอาการบาดเจ็บได้ดีกว่าที่ผมคิดเอาไว้ เขาเป็นนักเตะที่มีพรสวรรค์ทางด้านร่างกายมาก”