ยันไม่ต้องรีบขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย มั่นใจสงครามการค้าส่งผลดีต่อไทย ขณะที่รายงานนโยบายการเงินของ ธปท.ระบุว่าจะกระทบการส่งออกในช่วงไตรมาส 4 และจะชัดเจนขึ้นปีหน้า ส่วนดอกเบี้ยแม้ยังไม่ปรับขึ้นในเร็วๆนี้ แต่เตือนว่าในอนาคตจะต้องขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รมว.คลัง เปิดเผยว่า จากภาวะเศรษฐกิจดีขึ้นในช่วงนี้ แต่ความเห็นส่วนตัวยังมองว่าในปีนี้คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ยังไม่ควรที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เนื่องจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจะพิจารณาจากสถานการณ์เศรษฐกิจเพียงอย่างเดียวไม่ได้ แต่ต้องพิจารณาหลายๆอย่างประกอบด้วย
“แม้ว่าหลายประเทศจะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย แต่หากไม่มีความจำเป็นไทยก็ไม่ควรปรับขึ้นตามประเทศอื่นๆ ถือเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง เพราะต้องดูสภาพภายในประเทศว่ามีความจำเป็นหรือไม่ แต่ความเห็นของผมไม่ได้หมายความว่า กระทรวงการคลังจะไม่เข้าไปแทรกแซง กนง.”
สำหรับค่าเงินบาทที่ผ่านมามีการบ่นกันว่า เงินบาทของไทยแข็งค่าเกินไป และตอนนี้ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงมาแล้ว ก็เป็นเรื่องที่ดี ซึ่งน่าจะเป็นผลดีกว่าเศรษฐกิจมากกว่าค่าเงินบาทแข็งในช่วงที่ผ่านมา โดยเฉพาะกับภาคเกษตร ทำให้การส่งออกสินค้ามีทิศทางที่ดีขึ้น เกษตรกรมีรายได้และขายสินค้าได้มากขึ้น
“ส่วนเรื่องสงครามการค้าในปัจจุบันคิดว่ายังไม่ส่งผลกระทบกับการส่งออกสินค้าของไทย หากปัญหาดังกล่าวไม่ขยายวงกว้างมากไปกว่านี้ แต่กลับเป็นผลดีกับการส่งออกของไทย เพราะสินค้าไทยไม่ได้ถูกกีดกัน ทำให้ที่ผ่านมาการส่งออกของไทยในอาเซียนและเอเชียมีมากขึ้น ยอมรับว่า เศรษฐกิจไทยในช่วงนี้ขยายตัวได้ดีมาก เป็นการเจริญเติบโตในทุกภาคส่วนถือเป็นสัญญาณที่ดีมาก โดยกระทรวงการคลังมั่นใจว่า เศรษฐกิจภายในประเทศมีความเข้มแข็งเพียงพอ รองรับผลกระทบจากสงครามการค้าที่เกิดขึ้นอยู่ขณะนี้ได้ เพราะไทยไม่ได้ ส่งออกสินค้าอย่างเดียว แต่มีเรื่องการท่องเที่ยวที่นำเม็ดเงินเข้ามาในประเทศค่อนข้างสูง”
นายจาตุรงค์ จันทรังษ์ ผู้ช่วยผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า จากการประเมินภาวะเศรษฐกิจในขณะนี้ของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในรายงานนโยบายการเงินล่าสุด เดือน มิ.ย. ธปท.พบว่า ความเสี่ยงที่มีน้ำหนักที่สุดคือ ความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐฯและมาตรการตอบโต้ที่กำลังลุกลามเป็นสงครามการค้ากับจีนและประเทศอื่นๆ โดยคาดว่า มาตรการดังกล่าวจะกระทบต่อเศรษฐกิจไทยทั้งทางตรงและทางอ้อม โดยในส่วนของคำสั่งซื้อสินค้านั้น คาดว่ากระทบต่อการส่งออกของไทยในไตรมาสที่ 4 ของปีนี้ และชัดเจนขึ้นในปีหน้า
นอกจากนั้น ผลกระทบจากกรณีนี้ยังทำให้ความเสี่ยงที่เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวต่ำลงกว่าที่ประมาณการไว้ว่า จะขยายตัว 4.4% ในปีหน้า และ 4.2% มีสูงขึ้นจากการประมาณการครั้งก่อน และสูงสุดในการประมาณการทุกครั้งตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา
“ในการประชุม กนง.ครั้งที่ผ่านมา ถือเป็นการประชุมครั้งแรกที่ กนง.มีการหารือที่ชัดเจนขึ้นว่ามองไปข้างหน้า ความจำเป็นของนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากในปัจจุบันจะเริ่มลดลง เพราะภายใต้ภาวะการเงินที่ทุกประเทศกำลังดำเนินนโยบายการเงินเพื่อกลับเข้าสู่ภาวะปกติ การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในอนาคตเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ กนง.ยังไม่ได้เห็นความจำเป็นในระยะเวลาอันใกล้ แต่ก็ไม่อยากให้นักธุรกิจและประชาชนประมาทว่า นโยบายการเงิน ดอกเบี้ยจะผ่อนคลายต่อไปเรื่อยๆต้องเตรียมการดูแลต้นทุนให้ดีขึ้น”.