มีลาภ เสื่อมลาภ มียศ เสื่อมยศ คำสรรเสริญ คำนินทา ความสุข และความทุกข์
นี่คือ ความจริงบนโลก กับ โลกธรรม 8 ประการ
ตอนนี้สังคมกำลังจับตาความคืบหน้าคดี “เงินทอนวัด” ซึ่งล่าสุด มีการออกหมายจับ พระชั้นผู้ใหญ่ของวงการสงฆ์ ถึงขั้นถูกควบคุมตัวเข้าเรือนจำ และจำ..ต้องถอดผ้าเหลือง และสุดท้าย สมณศักดิ์ ที่เคยมีก็หมดไป
เศร้า...นะครับ ที่เห็นเรื่องราวแบบนี้ในสังคมชาวพุทธ แต่ก็ต้องทำใจยอมรับว่า นี่คือความจริง
ที่ผ่านมา พยายามจะไม่เชื่อว่าเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นกับวงการผ้าเหลือง แต่ท้ายที่สุดกลับคล้ายคลึงกับวงการอื่นๆ เช่น ข้าราชการ หรือการเมือง ที่พบการฉ้อฉล โกงกิน ใช้เงินเป็นบันไดเพื่อลาภยศ สรรเสริญ
...
อย่างไรก็ตาม ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ ได้มีโอกาสพูดคุยประเด็น “การซื้อตำแหน่งในวงการผ้าเหลืองของไทย” ว่ามีจริงหรือไม่ ใช้จ่ายแต่ละครั้งมากน้อยขนาดไหน ทำไมนักบวชจึงต้องแสวงหาลาภยศ ซึ่งเรื่องนี้ได้รับคำตอบจาก นพ.มโน เลาหวณิช อดีตศิษยานุศิษย์วัดธรรมกาย ที่คร่ำหวอดในวงการนี้มานาน และ “ผู้การวิสุทธิ์” หรือ “วิสุทธิ์ วานิชบุตร” อดีตตำรวจมือดี ที่เป็นกูรูในหลายวงการ ซึ่งทั้งคู่ได้ตอบเหมือนกันว่าเรื่องนี้ “มีจริง!!”
ผู้การวิสุทธิ์ เกริ่นว่า ประเทศไทย ไม่ว่าจะวงการไหน ข้าราชการ กระทรวง ทบวง กรมใด หรือ ทำงานใกล้ชิดกับประชาชน หากมีอำนาจจับกุมประชาชนได้ พวกนี้จะมีการวิ่งเต้นซื้อขายตำแหน่งทั้งนั้น ซึ่งการซื้อขายตำแหน่ง ไม่จำเป็นต้องใช้เงินเสมอไป เช่น บางคนรู้ว่าเจ้านายชอบพระเครื่อง ก็เอาพระเครื่องราคาแพงไปให้ แลกกับการขอเลื่อนตำแหน่งหรือย้ายไปอยู่ในทำเลดีๆ
เช่นเดียวกันกับวงการอื่นๆ อาทิ โรงเรียน หากได้เป็น ผู้อำนวยการโรงเรียน ก็จะมีงบประมาณในการดูแล ไม่ว่าจะจัดซื้อจัดจ้าง จะสร้างอะไรก็แล้วแต่... ก็มักจะมีส่วนต่าง ถ้าหากเด็กคนไหนอยากเข้าโรงเรียนก็มีอีก..?
“สำหรับ พระสงฆ์ ก็นับว่าเป็นข้าราชการ เพราะหากมีพฤติกรรมเข้าข่ายทำผิดก็ถูก ป.ป.ช. ตรวจสอบได้ เช่นเดียวกับกรณีเงินทอนวัด ซึ่งเป็นข่าวอื้อฉาวในปัจจุบัน”
คนที่คิดจะบวชมี 2 ประเภท แตกต่างกันสุดขั้ว
สำหรับคนที่คิดจะบวชเป็นพระสงฆ์นั้น ผู้การวิสุทธิ์ ระบุว่า มีอยู่ 2 ประเภท คือ
1. คนที่รู้สึกอยากบวช อยากซาบซึ้งในรสพระธรรม เอาพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าไปเผยแผ่ แบบนี้เรียกพระสงฆ์
2. บวชด้วยจิตอกุศล คือ พวกหนีคดีไปบวช บวชเพราะอกหัก หรือคนที่ไม่มีจิตอยากบวช แต่ต้องบวชเพราะต้องการหนีอะไรบางอย่าง พวกนี้เรียกว่า “มนุษย์ห่มเหลือง” ไม่ใช่พระ
โจรไปบวช...แบบนี้จะเป็นพระสงฆ์ไหม แม้ภายนอกจะดูเหมือนพระสงฆ์ เมื่ออยู่ในคราบผ้าเหลือง สุดท้ายมันก็ทนไม่ได้ ก็ยังทำผิดอยู่ดี
...
ซื้อขายสมณศักดิ์ มีจริง ฝังรากลึกในสังคมไทยมายาวนาน
เมื่อถามว่า การซื้อขายตำแหน่งมีเรตราคาเป็นอย่างไร เรื่องนี้ นพ.มโน เผยว่า “เรื่องนี้ผมเจอกับตัว” ตั้งแต่สมัยตนยังบวช ได้รู้ได้เห็นพระผู้ใหญ่รูปหนึ่งในปัจจุบัน ทำการซื้อตำแหน่งจากพระผู้ใหญ่อีกท่านหนึ่ง ซึ่งท่านนี้ได้รับโควตาที่สามารถแต่งตั้งสมณศักดิ์ได้ พระผู้ใหญ่ที่ต้องการตำแหน่งจึงถวายเงินไปจำนวน 3 ล้านบาท เพื่อเลื่อนตำแหน่ง “เจ้าคุณชั้นสามัญ” ซึ่งปัจจุบัน พระผู้ใหญ่ท่านนี้ถูกถอดตำแหน่งไปแล้ว
“การซื้อขายตำแหน่งไม่ใช่เรื่องแปลก ไม่ใช่เรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้น เพราะเป็นสิ่งที่มีมานานแล้ว”
หมอมโน เปิดเผยเรื่องที่น่าตกใจว่า ในปี 2557 มีการซื้อขายตำแหน่งเพื่อเลื่อนยศพระถึง 4 รูป และมีการจ่ายเงินให้กับผู้มีอำนาจในวงการสงฆ์ ซึ่งการวิ่งเต้นจะวิ่งในเส้นสายของตนเอง โดยทั้ง 4 รูปนั้นต้องใช้เงินซื้อตำแหน่ง คนละ 4 ล้านบาท ซึ่งนี่คือเรตราคามาตรฐานการเลื่อนสมณศักดิ์ระดับ “เจ้าคุณชั้นสามัญ” หากเป็นเจ้าคุณชั้นเทพ ราคาก็เพิ่มขึ้นอีก
...
“การซื้อขายตำแหน่งนั้นก็เหมือนข้าราชการอื่นๆ สิ่งสำคัญคือ ขึ้นอยู่กับทำเลที่ตั้งของวัด สมมติว่าจะขึ้นเจ้าอาวาสในวัดดังในกรุงเทพฯ ราคาก็หลักล้านบาท นี่คือ สาเหตุว่าทำไมพระบางรูปถึงมีเงินหลักร้อยล้านบาทได้ ถ้าระดับพระครู ราคา 2 แสนบาทถ้วน (สมัยก่อน) หากเป็นเจ้าคณะระดับจังหวัด ก็จะเพิ่มมากขึ้นคาดว่าน่าจะราคาหลักล้าน”
ข้อมูลดังกล่าว สอดคล้องกับสิ่งที่ผู้การวิสุทธิ์ เปิดเผย คือ การซื้อขายตำแหน่งพระนั้น ก็ขึ้นอยู่กับทำเล เช่น วัดดังในกรุงเทพฯ กับวัดอะไรไม่รู้ในต่างจังหวัด เหมือนกันหรือไม่ ดังนั้น เมื่อถามว่า เรตราคา ซื้อขายตำแหน่งของสงฆ์นั้น ไม่ตายตัว ขึ้นอยู่กับทำเล จังหวัด ชื่อเสียงของวัด
“เชื่อว่าการวิ่งตำแหน่งสำคัญๆ นั้น มีราคาหลักแสนถึงหลักล้านบาท ขึ้นอยู่กับวัด ว่าเป็นวัดใหญ่ เล็ก หรือกลาง เหมือนกับโรงพัก ที่มีหลายเกรด A B C หรือ D ทั้งนี้ ที่ผ่านมา สมเด็จพระสังฆราชท่านยังเตือนอยู่บ่อยๆ ว่า พระไม่ควรรับเงิน พอรับเงินมีผลประโยชน์ มีสมณศักดิ์นี่แหละ คือ ตัวกิเลส ซึ่งเรื่องนี้พระที่ดีเขาจะไม่สนใจ”
...
แต่...การซื้อตำแหน่ง หรือสมณศักดิ์นั้น ใช่ว่าจะใช้เงินเพียงอย่างเดียว เพราะบางทีก็มีการซื้อรถแจก การถวายสิ่งของ หรือพระเครื่องดีๆ ที่มีราคาสูง นอกจากนี้ ยังมีการให้สัญญาใจกันด้วย เช่น หากได้เลื่อนชั้นเลื่อนตำแหน่งแล้วจะจ่ายเพิ่มด้วย เพราะเมื่อมนุษย์ห่มเหลืองเหล่านี้ เข้าไปมีอำนาจในตำแหน่งที่สูงขึ้น สามารถควบคุมเรื่องเงินภายในวัด หรือ เงินสนับสนุนได้ ก็จะนำมาจ่ายให้เพิ่มเติม...นี่คือ สิ่งที่ผู้การวิสุทธิ์มอง
“มีครั้งหนึ่ง คือ ประสบการณ์ส่วนตัวเลย ญาติผู้ใหญ่ของผมคนหนึ่งบวชเป็นพระ ท่านมาบอกกับผมว่า ท่านจะเลื่อนสมณศักดิ์ แต่ก็ต้องใช้เงินในการวิ่งเต้น นอกจากนี้ มีอยู่วันหนึ่งเจ้าคณะรูปหนึ่ง จะเดินทางไปต่างประเทศก็ต้องไปแลกเงินต่างประเทศเพื่อใส่ซองให้อีก...เรื่องแบบนี้เหมือนกันหมด การซื้อขายตำแหน่งในวงการผ้าเหลือง เป็นเรื่องจริงล้านเปอร์เซ็นต์” ผู้การวิสุทธิ์ ลากเสียงยาว อย่างมั่นใจ
และเมื่อถามว่า ทำเลทองในวงการสงฆ์ นี่มองอย่างไร หมอมโน ระบุว่า ตามสถานที่ศักดิ์สิทธิ์และวัดดัง เช่น สระบุรี และวัดดังในภาคกลาง เพราะเวลาจัดงานใหญ่ๆ จะมีการนิมนต์พระดังๆ หรือพระราชาคณะ มาร่วม ซึ่งกิจนิมนต์แต่ละครั้งจะได้เงินประมาณ 50,000 บาท
เปิดผลประโยชน์พระชั้นผู้ใหญ่ รายได้อู้ฟู่หลายทาง
หากได้เป็นใหญ่เป็นโตในวัดแล้ว เช่น เจ้าอาวาส ก็จะมีอำนาจในการดูแลทั้งวัด เรื่องนี้ อดีตนายตำรวจชื่อดัง มองว่า หากเป็นพระระดับสูง ก็จะเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์มากมาย
“คนที่จะสามารถทุจริตได้ จำเป็นต้องเป็นระดับสูง หรือตำแหน่งหลัก หากยังไม่ใช่..ก็ต้องพยายามวิ่งเต้นเพื่อให้ได้มา บางคนคุณสมบัติพร้อม ทั้งอาวุโส และความรู้ แต่ก็ต้องวิ่งเต้นเพื่อให้ได้ตำแหน่งนั้นโดยเร็ว พระบางรูป เป็นเจ้าอาวาสแล้วก็อาจจะรู้สึกว่าเล็กไป ก็ต้องวิ่งขึ้นไปอีก เพื่อกินในระดับเจ้าคณะ อำเภอ หรือจังหวัด หรือไประดับภาค เหมือนกับตำรวจ เป็นผู้กำกับก็กินได้แค่โรงพักเดียว”
ส่วนเงินที่จะได้ พระบางรูปนั้น มีวาทะในการเทศนา เป็นพระชื่อดัง ดังนั้น จึงมีเงินไหลเข้ามามาก ชาวบ้านศรัทธา กิจนิมนต์ก็มาก เงินจึงเข้ามาหาท่านโดยตรง พระบางรูปมีตำแหน่งคุมวัด เงินก็เข้ามาจากกิจของสงฆ์มากมาย ทั้งงานศพ งานบวช ค่าเช่าที่ดินวัด ตู้รับบริจาคมีมากมาย ถามว่าใครเป็นคนถือกุญแจตู้บริจาค วันดีคืนดี เงินในตู้หายไปครึ่งหนึ่งใครจะเป็นคนตรวจสอบ พระบางรูปมีชื่อเสียง รับกิจนิมนต์ครั้งละเป็นแสนบาท ทุกอย่างเป็นเงินเป็นทองทั้งนั้น ด้วยเหตุนี้จึงเป็นที่มาของการวิ่งเต้นเพื่อแสวงหาสมณศักดิ์
ตะลึง! วิ่งเต้นสูงสุด ให้พระทองคำ 1 ตัน เงินทองหลายสิบล้านบาท
เรื่องนี้ นพ.มโน อดีตศิษยานุศิษย์วัดดัง กล่าวว่า การจ่ายสินบน จะจ่ายให้พระชั้นผู้ใหญ่ที่อยู่ในตำแหน่ง “สามารถให้คุณให้โทษ” ได้ บางครั้งก็ไม่ได้ให้เป็นเงิน เพราะรู้ว่ารสนิยมพระบางรูปชอบวัตถุอย่างอื่น เช่น รสนิยมชอบรถเบนซ์ โดยเฉพาะรถรุ่นเก่า รสนิยมชอบรถสปอร์ต เช่น ปอร์เช่ เฟอร์รารี่ พระบางรูปก็อาจจะชอบรถ ซีตรอง ซึ่งตรงนี้มีลูกศิษย์วัดบางคนอาศัยอยู่ที่เบลเยียม สามารถซื้ออะไหล่มาให้ได้
เมื่อถามว่า เท่าที่ได้ยินมา การจ่ายสินบนเพื่อซื้อสมณศักดิ์ มากที่สุด นพ.มโน อ้างว่า “มีอยู่คนหนึ่งใช้เงินเยอะมาก และหลายครั้ง หากเป็นเงินก็ประมาณหลายสิบล้านบาท มีการหล่อพระเป็นทองคำ น้ำหนักประมาณ 1 ตัน และทุกๆ วันเกิดก็จะมีการนิมนต์มา พร้อมให้เงินอีกประมาณ 5 ล้านบาท..”
“การมอบสินบนเหล่านี้ มีส่วนช่วยในคดีต่างๆ ที่เกิดขึ้นได้ เพราะพระบางรูปถูกร้องเรียน มีคดี แต่เมื่อถึงเวลาตัดสิน กลับไม่มีความคืบหน้า เพราะมีพระผู้ใหญ่บางรูปคอยช่วยเหลือ อย่างไรก็ตาม พระระดับสูงบางรูปที่เลื่อนชั้นก็มาจากความสามารถ บทบาทหน้าที่ช่วยเหลือสังคม แต่ในภาพรวมนั้น ส่วนตัวเชื่อว่ามีการใช้เงินในการช่วยเลื่อนสมณศักดิ์เสียเป็นส่วนใหญ่” หมอมโน กล่าวอ้าง..
พระไม่ได้ลอยมาจากท้องฟ้า ธาตุแท้คือมนุษย์ หากเป็นมนุษย์ห่มเหลือง จะมีอารมณ์เปลี่ยวมากกว่าคนทั่วไป
ผู้การวิสุทธิ์ เชื่อว่า อารมณ์มนุษย์ห่มเหลืองนั้น แตกต่างจากคนทั่วไป เพราะคนพวกนี้มีเวลาเยอะ ไม่มีเรื่องเครียด บางวัดไม่บิณฑบาตเพราะวัดรวย ไม่ค่อยทำวัตร เมื่อมีเวลา อารมณ์เปลี่ยวก็เกิดขึ้นได้ เราจึงเห็นข่าวพระมั่วสีกา เปลี่ยนชุดไปเที่ยว
“พระไม่ได้ลอยมาจากบนฟ้า เป็นแค่มนุษย์ธรรมดา บางครั้งจึงเกิดกิเลส พระที่แท้จริง เขาจะไม่ค่อยยุ่งการเมือง หรือต่อต้านอะไร พระที่แท้จริงเขาจะหนีประชาชน ไปอยู่ตามป่าเขา เพราะสละแล้วซึ่งกิเลส แต่นี่ไม่ใช่ พระอยากอยู่วัดใหญ่ๆ แบบนี้หรือพระ” อดีตตำรวจ กล่าว
ด้าน นพ.มโน กล่าวว่า สิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ ตนรู้สึกว่า ควรจะทำมานานแล้ว เพราะที่ผ่านมา ไม่มีการตรวจสอบในมหาเถรสมาคม (มส.) สิ่งที่ควรทำคือ ประชาชนทุกคนควรจะมีส่วนร่วมในการพิจารณา แต่ไม่ควรให้พระรูปใดรูปหนึ่งเป็นผู้พิจารณาเลื่อนชั้น เลื่อนตำแหน่ง พุทธบริษัทควรจะมีส่วนร่วม
“ส่วนตัวผมอยากเห็นการปฏิรูปวงการพระพุทธศาสนา พระธรรมวินัยเป็นสิ่งที่ดี และทำให้ศาสนาพุทธอยู่ได้จนถึงปัจจุบัน แต่..พ.ร.บ.สงฆ์ 2505 เป็นกฎหมายที่มีปัญหา เพราะไม่มีการตรวจสอบเลย เจ้าอาวาส คือ พระราชาในวัดของตัวเอง ท่านสามารถทำอะไรก็ได้...”
ขณะที่ ผู้การวิสุทธิ์ ได้กล่าวทิ้งท้ายว่า..ประเทศไทยยึดถืออยู่ 3 หลักใหญ่ ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ในความคิดของตนเชื่อว่า ศาสนา ไม่มีทางต่ำลง หรือเสื่อมลง สิ่งที่ต่ำลงคือ “มนุษย์ห่มเหลือง” เพราะนี่คือเรื่องส่วนบุคคล แต่คนส่วนใหญ่ก็ยังนับถือศาสนาพุทธอยู่ สังเกตจากคืนก่อน (วันวิสาขบูชา) มีการเวียนเทียน คนก็ยังทำศาสนกิจเหมือนเดิม
แม้ที่ผ่านมา จะมีการพูดถึงการจ่ายสินบนเพื่อซื้อสมณศักดิ์ แต่ก็ถือว่าเป็นสิ่งที่ยากตรวจสอบว่าเรื่องนี้เกิดจริงหรือไม่ คงต้องหวังเจ้าหน้าที่บ้านเมือง และผู้ที่ทำงานด้านพุทธศาสนามาร่วมกันตีแผ่ความจริง เพื่อป้องกันไม่ให้เหลือบไรมาใช้ผ้าเหลืองหากินกับความศรัทธาของพุทธศาสนิกชนอีกต่อไป
ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ รายงาน