ปอท. แจ้งข้อหา อ.ชาญวิทย์ ผิดตามมาตรา 14 (2) และ (5) กรณีโพสต์ภาพกระเป๋าหรูภริยา นายกฯ บอกเป็นของใช้คนระดับสูง โดยเจ้าตัวให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา เผยเป็นอาจารย์มา 50 ปีไม่เคยโดนเรียกตัวแบบนี้มาก่อน...

เมื่อวันที่ 31 ม.ค.2561 กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) อ.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และนักวิชาการ พร้อม นายกฤษฎางค์ นุตจรัส ทนายความ เดินทางเข้าพบ พ.ต.ท.กฤต เสนีวงศ์ ณ อยุธยา รอง ผกก. กก.3 บก.ปอท. เพื่อรับทราบข้อกล่าวหา ตามความผิด พรบ.คอมพิวเตอร์ กรณีแชร์ภาพกระเป๋าถือของนางนราพร จันทร์โอชา ภริยาของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และแสดงความคิดเห็นในลักษณะว่า “เป็นกระเป๋าแบรนด์เนมดัง มีราคาแพง ที่คนชั้นสูงใช้กัน” โดยมีกลุ่มมวลชนมามอบดอกไม้และให้กำลังใจเป็นจำนวนมาก

อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เปิดเผยก่อนเข้าพบพนักงานสอบสวน ว่า ตนถูกเรียกตัวมารับทราบข้อกล่าวหาเกี่ยวกับการโพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก ตนยังไม่ทราบว่าเรื่องอะไรและใครเป็นต้นเรื่อง โดยส่วนตัวเชื่อว่าสิ่งที่ทำนั้นไม่ได้ผิดกฎหมายและศีลธรรม เป็นการแสดงความเห็นในฐานะประชาชนคนหนึ่งเกี่ยวกับบุคคลระดับสูงหรือเรียกว่าบุคคลสาธารณะ ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่งต่อการวิพากษ์วิจารณ์ ทั้งนี้ เฟซบุ๊กเป็นเทคโนโลยีที่เผยแพร่อย่างรวดเร็ว จะให้มาตรวจสอบก็คงเป็นไปได้ยาก ส่วนกรณีตนเพียงแค่ตั้งข้อสังเกตว่าบุคคลระดับสูง ส่วนใหญ่จะใช้ของราคาสูงๆ และใช้ของราคาถูกนั้นหาค่อนข้างยากแต่ราคาและยี่ห้ออะไรนั้นไม่ใช่สิ่งที่ตนรู้ได้ มันคนละประเด็น

อ.ชาญวิทย์ เผยอีกว่า ตั้งแต่ตนเป็นอาจารย์ใน ม.ธรรมศาสตร์ 40-50 ปี ไม่เคยโดนเรียกตัวอย่างนี้ ผ่านเหตุการณ์ ทั้ง 14 ต.ค. และ พฤษภาทมิฬ อย่างดีก็แค่มีการใส่ร้าย ป้ายสีสาดโคลนกัน ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ทางราชการเรียกมาแจ้งข้อกล่าวหา ในช่วงบั้นปลายชีวิตการทำงาน รวมถึง ตนเริ่มใช้เฟซบุ๊กมา 5-6 ปี เพราะลูกศิษย์เป็นคนสอนเเละการเผยแพร่ข้อมูลวิชาการในมหาวิทยาลัยก็ได้แค่เพียงมหาวิทยาลัย แต่หากโพสต์เฟซบุ๊กทำให้คนทั่วประเทศไทยและทั่วโลกรับทราบ ซึ่งตนมักจะใช้ 2 ภาษา

...

"ผมก็สังหรณ์ใจอยู่เหมือนกันว่าการตั้งข้อกล่าวหาใครเป็นคนตั้ง แต่ผมมีความรู้สึกว่าถูกเล็งเป้าฟ้องร้องกล่าวหา อาจเป็นเกมการเมืองก็ได้ หรือเรียกว่าเป็นคดีปิดปาก ทำให้ไม่กล้าพูด ซึ่งผมไม่ต้องการให้เกิดขึ้นในประเทศไทยและฝากไปยังเพื่อนๆ ว่าอย่าไปรับเลยตำแหน่งที่ไม่เป็นประชาธิปไตย อย่างไรก็ตาม หลังจากนี้ก็คงดำเนินชีวิตไปตามปกติ" อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าว

ต่อมา เวลา 15.30 น. อ.ชาญวิทย์ เปิดเผยหลังพบพนักงานสอบสวน ว่า หลังเข้าพบเจ้าหน้าที่ บก.ปอท. จึงทราบว่า พ.ต.อ.โอฬาร สุขเกษม ผกก.3 บก.ปอท. เป็นผู้แจ้งความตามความผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ม.14 (2) ,(5) นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งมีข้อมูลคอมพิวเตอร์ โดยรู้อยู่แล้วว่าข้อมูลอันเป็นเท็จ โดยน่าจะเกิดทำให้ตื่นตระหนกแก่ประชาชน / เผยแพร่หรือส่งต่อ ซึ่งมีข้อมูลคอมพิวเตอร์ โดยรู้อยู่แล้วว่าข้อมูลอันเป็นเท็จ โดยน่าจะเกิดทำให้ตื่นตระหนกแก่ประชาชน

อ.ชาญวิทย์ เผยต่อว่า นอกจากนี้ ยังได้มีการพูดคุยอีกหลายประเด็น แต่ตนได้ปฏิเสธทุกข้อกล่าว และจะชี้แจงเป็นลายลักษณ์อักษร ภายในเวลา 20 วัน ครั้งนี้ถือเป็นประสบการณ์ในการเป็นผู้ต้องหาเนื่องจากตนเคลื่อนไหวทางสังคมและถูกตีความเป็นการเมือง ซึ่งตนเคลื่อนไหวมาตลอดตั้งแต่เป็น นักศึกษา และ เป็นอาจารย์ ม.ธรรมศาสตร์ เมื่อปี 2516 ส่วนจะเป็นคดีปิดปากหรือไม่นั้น หากตนทำให้สังคมเปิดได้ก็พร้อมจะทำต่อไป

ด้าน นายกฤษฎางค์ กล่าวว่า พ.ต.อ.โอฬาร เป็นผู้แจ้งความร้องทุกข์ ตามความผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ นั้น มีโทษปรับไม่เกิน 1 แสนบาท หรือ โทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือ ทั้งจำทั้งปรับ โดยทาง อ.ชาญวิทย์ ได้ปฏิเสธทุกข้อกล่าวหาเพราะได้โพสต์ข้อความที่ไม่เป็นอันตรายต่อประเทศชาติ แต่อาจเสียหายแค่บุคคล ซึ่ง อ.ชาญวิทย์ เดินทางมาด้วยตัวเองจึงไม่ต้องมีการประกันตัว ส่วนกรณี พ.ต.อ.โอฬาร ได้ร้องทุกข์และให้ พนักงานสอบสวน ผู้ใต้บังคับบัญชา ทำคดีอาจจะไม่ได้รับความเป็นธรรม จึงพร้อมคัดค้านเรื่องพนักงานสอบสวน เป็นลายลักษณ์อักษรถึง ผบ.ตร. ให้เจ้าหน้าที่ไม่ใช่ผู้ใต้บังคับบัญชา มาเป็นผู้สอบสวน แทน เพื่อให้ผู้ต้องหาได้แสดงความบริสุทธิ์

ผู้สื่อข่าวถามว่า สำหรับข้อสงสัยเหตุใด พ.ต.อ.โอฬาร เป็นผู้กล่าวร้องทุกข์เองนั้นได้รู้จักกับภริยา นายกฯ หรือไม่ นายกฤษฎางค์ กล่าวว่า เจ้าหน้าที่แจ้งว่าเนื่องจากเป็นอาญาแผ่นดิน ไม่ใช่ความผิดส่วนตัว และเหตุเกิดทั่วราชอาณาจักร ซึ่งบุคคลใดก็สามารถกล่าวโทษร้องทุกข์ได้ อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ได้แจ้งข้อหาเพียงกรรมเดียว.