นักวิชาการ ชี้ 3 ปี รัฐบาลประยุทธ์ “ข้าราชการผยอง นายทุนเริงร่า ประชาหดหู่” เตือนพรรคทหารระวังไม่มีที่ยืน ชี้ ปม นาฬิกาหรู ทำเกิดวิกฤติศรัทธา ด้าน กกต. ยังเชื่อเลือกตั้งเกิดปีนี้ได้ หาก ก.ม.ลูก ส.ส. ประกาศราชกิจจาฯในมี.ค.ปีนี้...
เมื่อวันที่ 20 ม.ค. นายพิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต คณบดีคณะพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อม สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ กล่าวในการสัมมนาสาธารณะ เรื่อง “เหลียวหน้าแลหลังสถานการณ์การเมืองไทย” ว่า การปฏิรูปประเทศ 3 ปีที่ผ่านมา สิ่งที่เห็นเป็นการเพิ่มอำนาจให้ภาครัฐ หน่วยราชการด้วยการแก้กฎหมาย และเอื้อประโยชน์ให้กลุ่มทุนเป็นหลัก ส่วนประชาชนให้ประโยชน์น้อย จึงเป็นสถานการณ์ข้าราชการผยอง นายทุนเริงร่า ประชาหดหู่ ถ้ายังเป็นอย่างนี้ความชอบธรรมของรัฐบาลจะลดลงเรื่อยๆ และมองว่าหากมีการจัดตั้งพรรคทหารก็จะไม่มีที่ยืน เพราะถูกจัดตั้งขึ้นมาภายใต้ตรรกะเก่าแก่ตั้งแต่สมัย จอมพล ป.พิบูลสงคราม ส่วนการออกแบบการเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญใหม่ รวมถึงบัตรเลือกตั้งแบบใหม่นั้น มองว่า การแข่งขันจะดุเดือด เกิดการทุจริตมโหฬาร มีพรรคเล็กพรรคน้อยที่จะกระจัดกระจายพร้อมไปไหนก็ได้
นายบรรเจิด สิงคะเนติ กล่าวว่า 10 ปี มีการรัฐประหาร 2 ครั้ง ต้องถามว่าลากรถถังออกมา 2 ครั้งสูญเปล่าหรือไม่ เรากำลังจะย้อนกลับมาสู่จุดเดิมหรือไม่ ซึ่งขึ้นอยู่กับ 3 เรื่องคือ การปฏิรูป การเล่นพรรคเล่นพวก หรือเลือกปฏิบัติ และความไม่วางใจเรื่องการทุจริต ซึ่งในส่วนของประเด็นปฏิรูปนั้นมองว่ารัฐบาลไม่ได้มีความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะปฏิรูป โดยเฉพาะการปฏิรูปตำรวจ ซึ่งส่วนตัวหมดหวังกับเรื่องนี้ เพราะมีการสั่งให้ล้มในบางประเด็น ทำให้เห็นว่ากระบวนการปฏิรูปขึ้นอยู่กับผู้มีอำนาจว่าต้องการให้ไปทิศทางใด ดังนั้นการปฏิรูปทั้ง 11ด้าน เชื่อว่าจะสำเร็จได้ยากเพราะประชาชนไม่ได้อยู่ในกระบวนการปฏิรูป ทำให้สถานการณ์ก่อนการเลือกตั้ง เหตุการณ์ต่างๆ จะกลับมาซ้ำรอยเดิม โดยเฉพาะวิกฤติศรัทธาขององค์กรอิสระที่มีหน้าที่ในการตรวจสอบ โดยเฉพาะประเด็นนาฬิกาหรู
...
นางสาวรสนา โตสิตระกูล อดีต ส.ว. กล่าวว่า ที่สำคัญที่สุด คือ ดุลแห่งอำนาจที่ต้องคิดใหม่ว่าประชาชนจะปฏิรูปโครงสร้างเชิงอำนาจให้ประชาชนที่เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยที่แท้จริงเป็นอย่างไร เพราะไม่ว่านักการเมืองที่มีที่มาทั้งจากการเลือกตั้ง และรัฐประหาร ต่างทำเพื่อประโยชน์ของกลุ่มทุน หรือแม้แต่ผู้นำในอดีตที่ประชาชนเคยฝากความหวังไว้ เช่น นายทักษิณ ชินวัตร ที่ถูกศาลรัฐธรรมนูญในขณะนั้นบอกว่าบกพร่องโดยสุจริต ก็จะขอรอดูว่ากรณีนาฬิกาของพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี จะถือว่าบกพร่องโดยสุจริตอีกครั้งหรือไม่
ด้านนายสมชัย ศรีสุทธิยากร กกต. กล่าวว่า หากท้ายที่สุด สนช.แก้ไขตามที่กรรมาธิการฯ เสนอให้ขยายระยะเวลาการบังคับใช้กฎหมายลูกว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.ออกไป 90 วัน หลังจากประกาศในราชกิจจานุเบกษาว่า 90 บวก 150 วัน คือ 8 เดือน ซึ่งหากกฎหมายลงมาในเดือนมี.ค. การเลือกตั้งก็จะเกิดขึ้นอีกในเดือนพ.ย.ปีนี้ เว้นแต่จะประกาศใช้กฎหมายช้ามาก ดังนั้น 3 เดือนที่เพิ่มขึ้นไม่ได้หมายความว่าจะทำให้พรรคการเมืองใหม่แข็งแกร่งขึ้น
พร้อมกันนี้มองว่า อย่าประมาทนักการเมืองประเทศไทยมากเกินไป แม้ว่าวันนี้มีการทาบทามพรรคการเมืองต่างๆ และได้รับปากแล้ว แต่เมื่อผลการเลือกตั้งออกมาอย่างไม่เป็นทางการ วันนั้นคนที่เคยรับปากเอาไว้ก็จะต่อสายเพื่อตั้งรัฐบาลกับฝ่ายอื่น หากฝ่ายนั้นมีโอกาสได้เป็นรัฐบาล เพราะการเมืองไทยไม่มีมิตรแท้และศัตรูถาวร
นายสมชัย กล่าวว่า ขอแนะนำไปยังนายกรัฐมนตรี ว่า อย่าทำตัวให้กลายเป็นเป้าในเรื่องการถูกเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรีในรอบแรก ที่พรรคการเมืองจะมีสิทธิเสนอชื่อว่าใครเป็นนายกรัฐมนตรี เพราะชื่อจะถูกนำไปใช้ในการหาเสียง และเป็นชื่อที่กลายเป็นประเด็นถูกโจมตี จะกลายเป็นคู่ขัดแย้งในสังคม ขณะนี้อยู่นิ่งๆ และจัดเลือกตั้งให้ตรงไปตรงมาเป็นกลาง และค่อยเข้าไปหลังจากฝ่ายการเมืองตั้งนายกรัฐมนตรีไม่สำเร็จ เพราะสถานจะกลายเป็นนายกรัฐมนตรี ในฐานะเข้ามากอบกู้สถานการณ์ของประเทศชาติ แต่ส่วนตัวเชื่อว่า พรรคการเมืองที่ชูนายกรัฐมนตรีคนนอกจะชนะการเลือกตั้งยาก.