นายวิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวถึงความคืบหน้าการใช้ระบบการโอนเงินแบบพร้อมเพย์ล่าสุดว่า ณ วันที่ 10 ส.ค.60 มียอดผู้ใช้บริการระบบพร้อมเพย์แล้วทั้งสิ้น 32 ล้านคน มียอดโอนเงินสูงสุด 290,000 รายการต่อวัน เฉลี่ยรายการละ 5,238 บาทต่อรายการ และเมื่อคิดยอดสะสมในการใช้บริการผ่านระบบพร้อมเพย์ เป็นข่าวดีที่ว่าเพียงเปิดบริการมา 6 เดือน มียอดสะสมทะลุ 1 แสนล้านบาทแล้ว โดย ณ วันที่ 10 ส.ค.อยู่ที่ 105,368.55 ล้านบาท ถือว่าเป็นยอดสะสมที่เร็วมากเมื่อเทียบกับหลายประเทศ
แต่ถ้าเทียบการโอนเงินระบบอื่นๆ ยังสามารถที่จะขยายผู้ใช้บริการได้อีกและตัวระบบพร้อมเพย์เองก็กำลังจะมีเฟสต่อๆไป เพื่อเชื่อมโยงกับการชำระเงินประเภทอื่นๆ เพื่อช่วยลดต้นทุนการเงินให้ประชาชนและผู้ประกอบการรายย่อย รวมทั้งระบบพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (อี-คอมเมิร์ซ) อย่างไรก็ตาม สำหรับเป้าหมายของผู้ใช้บริการพร้อมเพย์ ณ สิ้นปีนี้ ยังตั้งเป้าไว้ที่ 40 ล้านคนเช่นเดิม เพราะการเปลี่ยนแปลงการชำระเงินของประชาชนต้องใช้เวลาในการทำความเข้าใจประโยชน์ที่จะได้รับ
นายวิรไทกล่าวต่อว่า สิ้นเดือน ส.ค.นี้ ธปท.จะออกใช้มาตรฐานการชำระเงิน ผ่านระบบคิวอาร์โค้ด โดยจะมีมาตรฐานคิวอาร์โค้ดกลาง ที่ทุกร้านค้าสามารถใช้ทำคิวอาร์โค้ดของตัวเอง เพื่อเชื่อมโยงบัญชีธนาคารสำหรับการรับโอนเงินได้จากระบบชำระเงินทุกระบบที่มีในขณะนี้ ทั้งการโอนจากบัตรเดบิต บัตรเครดิต พร้อมเพย์ ฯลฯ จากทุกธนาคารพาณิชย์ได้ ซึ่งจะสร้างความสะดวกให้กับผู้รับโอนเงิน และผู้โอนเงินยิ่งขึ้น หลังจากนั้นในเดือน ก.ย.จะเปิดระบบการโอนเงินระหว่างพร้อมเพย์กับกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ (อี-วอลเล็ต) ซึ่งรวมถึงบัตรเติมเงิน และบัตรเงินสดประเภทต่างๆ ซึ่งนอกจากสร้างความสะดวกเพิ่มมากขึ้นแล้ว ค่าธรรมเนียมในการโอนยังถูกกว่าระบบการโอนปัจจุบัน เพราะจะเป็นราคาเดียวกับการโอนในระบบพร้อมเพย์ด้วย
ผู้ว่าการ ธปท. กล่าวต่อว่า ต่อจากนั้นในช่วงภายในสิ้นปีนี้ ธปท.จะเพิ่มเติมให้ระบบพร้อมเพย์สามารถโอนเงินเพื่อชำระค่าบิลค่าบริการสาธารณูปโภค และบิลอื่นๆได้ด้วย ซึ่งกรณีนี้จะช่วยต่อยอดการทำธุรกิจของอี-คอมเมิร์ซ ด้วยระบบการส่งยอดการชำระเงิน หรือบิลที่ลูกค้าต้องชำระผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ และแจ้งข้อความเพื่อขอให้ลูกค้าชำระยอด (Request to Pay) ผ่านบิลดังกล่าว ซึ่งจะสร้างความสะดวกมากขึ้น เพราะในขณะนี้ลูกค้าหลายรายยังใช้ชำระเงินสดปลายทาง ทั้งที่สั่งสินค้าผ่านระบบออนไลน์ เพราะไม่เชื่อใจว่าจะได้รับสินค้าหรือไม่หากจ่ายเงินไปก่อน แต่กรณีนี้สามารถจ่ายผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ได้ทันทีเมื่อได้รับสินค้า
“การบันทึกยอดการซื้อหรือการจ่ายเงินด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์นี้ นอกจากจะช่วยลดต้นทุนของการทำธุรกรรมเงินสดแล้ว ยังเป็นข้อมูลที่ดีที่ภาคธุรกิจจะสามารถติดตามลูกค้าเพื่อนำไปปรับปรุงการขาย นอกจากนั้นยังช่วยลดต้นทุนในการสอบทานการรับชำระเงินจากลูกค้าด้วย เพราะที่ผ่านมาเวลาลูกค้าโอนเงินในจำนวนซ้ำๆกัน ธุรกิจจะต้องเสียค่าใช้จ่ายและเวลาในการแยกแยะมาก แต่ด้วยระบบพร้อมเพย์จะรู้ชื่อคนที่โอนทันที ทำให้การสอบทานการชำระเงินง่ายขึ้น โดยขณะนี้ในส่วนของพร้อมเพย์นิติบุคคล ล่าสุด วันที่ 13 ส.ค.ที่ผ่านมา มียอดลงทะเบียนทั้งสิ้น 45,379 ราย โดยคาดว่าในอนาคตจะสามารถเพิ่มจำนวนผู้ประกอบการได้อีกมากเช่นกัน”.