นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า ขณะนี้อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูปของไทยเติบโตได้ดี แม้อยู่ในภาวะเศรษฐกิจโลกผันผวน เพราะผู้ประกอบการมีศักยภาพในการผลิตสินค้าที่มีคุณภาพ ได้มาตรฐานเป็นที่ยอมรับในตลาดโลก ประกอบกับ การแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้ความต้องการอาหารที่เก็บไว้ได้นานเพิ่มมากขึ้น และไทยยังมีแต้มต่อจากการใช้สิทธิประโยชน์จากความตกลงการค้าเสรี (เอฟทีเอ) ช่วยปลดล็อกกำแพงภาษีศุลกากรที่ประเทศคู่เอฟทีเอเก็บจากสินค้าของไทย ส่งผลให้ปัจจุบันไทยเป็นผู้ส่งออกอาหารทะเล กระป๋องและแปรรูปอันดับ 2 ของโลก รองจากจีน และส่งออกทูน่ากระป๋องอันดับ 1 ของโลก
โดยในช่วง 8 เดือน (ม.ค.-ส.ค.) ปี 63 ไทยส่งออกสินค้ากลุ่มนี้ 2,583.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัว 5% จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ตลาดส่งออกสำคัญ เช่น สหรัฐฯ 729 ล้านเหรียญฯ ขยายตัว 24% ออสเตรเลีย 170 ล้านเหรียญฯ ขยายตัว 2.4% และอาเซียน 120 ล้านเหรียญฯ ขยายตัว 41% “อาเซียนมูลค่าส่งออกขยายตัวเพิ่มขึ้นทุกประเทศ เช่น กัมพูชาเพิ่ม 52% สิงคโปร์ เพิ่ม 61% มาเลเซียเพิ่ม 19% ฟิลิปปินส์เพิ่ม 88% เป็นต้น สินค้าที่เติบโตได้ดี ได้แก่ ทูน่ากระป๋อง ซาร์ดีนกระป๋อง และปลาแปรรูป”
สำหรับปัจจุบันประเทศที่ไทยทำเอฟทีเอด้วย 15 ประเทศจาก 18 ประเทศ ได้แก่ อาเซียน 9 ประเทศ จีน ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ชิลี เปรู และฮ่องกง ได้ยกเลิกภาษีศุลกากรที่เก็บจากไทยแล้วทุกรายการ ยกเว้น 3 ประเทศ เช่น ญี่ปุ่น เก็บภาษีนำเข้าปลาแปรรูปต่างๆ รวมถึงปูแปรรูปที่ 5% ปูกระป๋องที่ 9.6%, เกาหลีใต้เก็บภาษีนำเข้าปลาทูน่ากระป๋อง หรือแปรรูปที่ 20% ปลาซาร์ดีนกระป๋องที่ 16% และอินเดียเก็บภาษีนำเข้าปลาทูน่ากระป๋อง และกุ้งกระป๋องและแปรรูปที่ 30% เป็นต้น.