เก็บภาษีขายหุ้น

ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา การจัดเก็บภาษีขายหุ้น กลายเป็นทอล์ก ออฟ เดอะทาวน์ ในแวดวงตลาดหุ้นไทย ทั้งเสียงคัดค้านและเห็นด้วย และมองว่าเป็นของขวัญปีใหม่ 2566 ให้กับนักเล่นหุ้น

ถึงแม้เสียงเห็นด้วยจะไม่ดังเท่าเสียงคัดค้าน แต่กระทรวงการคลัง ก็ต้องเดินหน้าการจัดเก็บภาษีขายหุ้นตามที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติอนุมัติ โดยผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงการคลังต่างออกมายืนยันเสียงแข็งหนักแน่น เดินหน้าจัดเก็บภาษีขายหุ้นตามแผนงานที่กำหนดไว้

เริ่มจาก นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง กล่าวย้ำว่า การจัดเก็บภาษีขายหุ้น เป็นมติ ครม.ไปแล้ว กระทรวงการคลัง ก็ต้องเดินหน้าดำเนินการต่อไป ซึ่งได้อธิบายชี้แจงความจำเป็นและหลักการการจัดเก็บภาษีกับทุกฝ่ายไปแล้ว ทั้งสร้างความเป็นธรรมในระบบภาษี และการปฏิรูปโครงสร้างภาษีของประเทศ การปรับโครงสร้างรายได้ของรัฐ เนื่องจากปัจจุบันรายได้ของรัฐต่ำกว่ามูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) โดยมูลค่าจีดีพีของประเทศอยู่ที่ 17 ล้านล้านบาท

โดยในช่วงวิกฤติโควิด-19 มีการใช้เงินเพื่อช่วยเหลือและเยียวยาประชาชนจำนวนมาก ทำให้สัดส่วนรายได้ปี 2564 อยู่ที่ 14.9%ของจีดีพี เพราะฉะนั้นกระทรวงการคลัง ซึ่งรับผิดชอบการหารายได้ของรัฐก็ต้องเดินหน้าตามแผนการจัดหารายได้ 5 ปี เพื่อเพิ่มสัดส่วนรายได้ให้อยู่ในระดับ 16% ของจีดีพี เพื่อสร้างความยั่งยืนและมั่นคงทางการคลัง

ถัดมา นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ ปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวตอกย้ำว่า นักเล่นหุ้น ไม่ว่าจะซื้อขายหุ้น หรือเทรดหุ้นในประเทศใด ก็ต้องเสียภาษีซื้อขายหุ้นทุกประเทศ เพราะทุกประเทศจัดเก็บภาษีหุ้นเหมือนกัน เพียงแตกต่างกันที่อัตราการจัดเก็บเท่านั้น

ส่วน นายลวรณ แสงสนิท อธิบดีกรม สรรพากร กล่าวว่า การจัดเก็บภาษีขายหุ้น ไม่ใช่ เรื่องใหม่ เพียงแค่กระทรวงการคลังได้ยกเว้นการจัดเก็บมาเป็นเวลา 30 ปี และถึงเวลาเหมาะสมที่จะจัดเก็บแล้ว เพราะมูลค่ารวมของตลาด (มาร์เก็ตแคป) จากวันนั้น 900,000 ล้านบาท เพิ่มเป็น 20 ล้านล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้น 22 เท่า และยังมากกว่ามูลค่าจีดีพีของประเทศ ซึ่งอยู่ที่ 17 ล้านล้านบาท

ทั้งนี้การจัดเก็บภาษีขายหุ้น ได้หารือผู้เกี่ยวข้องทั้งตลาดทุน สภาตลาดทุน มาอย่างต่อเนื่อง หารือกันด้วยเหตุและผล ข้อเท็จจริง และศึกษาเปรียบเทียบนานาประเทศ เพื่อออกแบบการจัดเก็บภาษีให้ดีที่สุด มีผลกระทบน้อยที่สุด เพราะไม่เคยเก็บมากว่า 30 ปี เมื่อจัดเก็บย่อมมีผลกระทบ แต่เชื่อว่ากระทบระยะสั้น ซึ่งได้ให้เวลาปรับตัวก่อนจัดเก็บจริง 90 วัน และปีแรกจัดเก็บเพียงครึ่งเดียว

“การจัดเก็บภาษีขายหุ้น เพื่อสร้างความเป็นธรรมในระบบภาษี เพราะผู้ลงทุนประเภทอื่นก็เสียภาษี แม้กระทั่งการฝากเงิน ผู้ฝากก็เสียภาษี การซื้อพันธบัตรก็เสียภาษี แต่เหตุใดการซื้อขายหุ้น ไม่เสียภาษี เพราะให้เงินไปทำงานเช่นเดียวกัน แค่ต่างประเภทการลงทุน”

สำหรับความคืบหน้าร่างประกาศการจัดเก็บภาษีขายหุ้นนั้นขณะนี้ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาอยู่ระหว่างการตรวจสอบร่างประกาศการจัดเก็บภาษีขายหุ้นให้เป็นไปตามกฎหมาย เมื่อประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว ได้ให้เวลานักลงทุนหุ้น บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) หรือโบรกเกอร์ ปรับตัวและเตรียมความพร้อม 90 วัน โดยประกาศนั้น คาดว่าจะมีผลบังคับใช้ได้ในเดือน พ.ค.66

ปีแรก 2566 จะเก็บภาษีเพียงครึ่งเดียว 0.055% (รวมภาษีท้องถิ่น) ปี 2567 เป็นต้นไปจะเก็บเต็มอัตรา 0.11% (รวมภาษีท้องถิ่น) เมื่อนำมารวมกับค่าธรรมเนียมโบรกเกอร์ 0.15% และภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) 7% สิริรวมในปีแรกจะจัดเก็บภาษี 0.195% และปี 2567 เป็นต้นไป สิริรวมการจัดเก็บภาษีขายหุ้นจะอยู่ที่ 0.22% คาดว่าปีแรกจะจัดเก็บรายได้ 8,000 ล้านบาท ส่วนปีถัดไปจัดเก็บได้ 16,000-18,000 ล้านบาท

ปัจจุบันตลาดหุ้น มีบัญชีซื้อขายหุ้นอยู่ที่ 5 ล้านบัญชี แบ่งเป็นมีการเคลื่อนไหวการซื้อขายบัญชีตั้งแต่ 1–4 วันครั้ง ราว 1 ล้านบาท ส่วนอีก 4 ล้านบัญชี ส่วนใหญ่เป็นการลงทุนระยะยาว ทั้งรอรับปันผล และลงทุนเพื่อการออมระยะยาว

ส่วนประเด็นที่ถกเถียงกันและเข้าใจผิด คือ การยกเว้นการจัดเก็บภาษีขายหุ้น จนทำให้กระทรวงการคลัง ต้องออกมาระบุประเภทให้ชัดเจน ดังนี้ 1.ผู้ดูแลสภาพคล่อง (Market Maker) ที่ได้ขึ้นทะเบียนกับตลาดหลักทรัพย์ฯ เฉพาะการขายหลักทรัพย์ที่บุคคลนั้นได้ขึ้นทะเบียนเป็นผู้ดูแลสภาพคล่องของหลักทรัพย์นั้น 2.สำนักงานประกันสังคม 3.กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ 4.กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ 5.กองทุนสงเคราะห์ตามกฎหมายว่าด้วยโรงเรียนเอกชน 6.กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ 7.กองทุนการออมแห่งชาติ 8.กองทุนรวมที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ เพื่อขายหน่วยลงทุนในกองทุนรวมแก่สำนักงานประกันสังคมหรือกองทุนตามข้อ 3-7 เท่านั้น

คำว่า “Market Maker” จึงไม่ใช่นักลงทุนรายใหญ่ ไม่ใช่เสี่ยใหญ่นักเล่นหุ้น ไม่ใช่ตัวบุคคลใดบุคคลหนึ่ง แต่เป็นกองทุนเพื่อการออม และบริษัทหลักทรัพย์ที่ทำหน้าที่แทนกองทุนฯ และต้องได้รับอนุญาตจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เท่านั้น

ดังนั้น การจัดเก็บภาษีขายหุ้น เพื่อสร้างความเป็นธรรม ความ เท่าเทียมในระบบภาษี แม้กระทั่งคนซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาล เมื่อถูกรางวัลก็ต้องเสียภาษี แล้วทำไม คนเล่นหุ้น จึงจะไม่เสียภาษี!!!

ดวงพร อุดมทิพย์