หลังจากธนาคารไทยพาณิชย์ได้ประกาศจัดตั้งกลุ่มเอสซีบีเอ็กซ์ (SCBx) เป็นบริษัทแม่ หรือเป็น “ยานแม่” เพื่อความคล่องตัวในการขยายธุรกิจในยุค Digital Transformation หรือการปรับเปลี่ยนธุรกิจมุ่งสู่ดิจิทัล รับบริบทใหม่ของโลกที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
ในยุคสังคมดิจิทัลที่เกิดจากการพัฒนาเทคโนโลยีแบบก้าวกระโดด ทุกคนสามารถเข้าถึงดิจิทัลผ่านสมาร์ทโฟนและอุปกรณ์มือถือได้เท่าเทียมกันได้รับสิ่งใหม่ๆเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของผู้คนไปมาก
ดังนั้น วิสัยทัศน์จึงถูกปรับเปลี่ยนจากธนาคารแบบดั้งเดิมที่รับ-ฝากเงิน ปล่อยสินเชื่อไปสู่การเป็นบริษัทเทคโนโลยีทางการเงิน (ฟินเทค) และแพลตฟอร์มทางเทคโนโลยีอย่างเต็มรูปแบบ กับให้ธุรกิจในเครือแตกไลน์ธุรกิจใหม่ และร่วมลงทุนกับพันธมิตรรายใหญ่กว่า 15 ธุรกิจ ภายใต้เป้าหมายในปี 2025 เป็นผู้นำในระดับภูมิภาค ขยายฐานลูกค้าเป็น 200 ล้านคนจากปัจจุบันมีลูกค้า 16 ล้านราย
ล่าสุด SCBx ประกาศเข้าซื้อหุ้น บริษัท บิทคับ ออนไลน์ จำกัด (Bitkub Online) มูลค่าถึง 17,850 ล้านบาท และกลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่จำนวน 51% เพื่อรุกต่อยอดพัฒนาธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลด้านต่างๆ ทุกรูปแบบในระดับภูมิภาค และคาดว่ากระบวนการเข้าซื้อหุ้นที่ประกาศไว้จะเสร็จสิ้นสมบูรณ์ภายในไตรมาสแรกของปีหน้า
นับว่าสอดรับกระแสของเทรนด์ เมต้าเวิร์ส (Metaverse) ที่โลกกำลังพูดถึงกันกับการใช้เทคโนโลยีเปลี่ยนโลกและชีวิตประจำวันของมนุษย์เรา สามารถเข้าไปใช้ชีวิตโลกความเป็นจริงผสมผสานกับเทคโนโลยีโลกเสมือนจริง Virtual reality (VR) โลกความจริงเสริม Augmented Reality (AR) และสกุลเงินดิจิทัล เป็นแพลตฟอร์มที่มนุษย์เราสามารถใช้ร่วมกัน ลองนึกภาพดูว่าไปช็อปปิ้งกับชมคอนเสิร์ต หรือไปเที่ยวกับเพื่อนๆ พร้อมกันเหมือนเดินทางไปบนโลกแห่งความจริง
ดังนั้น สกุลเงินดิจิทัลจึงเป็นหนึ่งในเมกาเทรนด์ที่กำลังเปลี่ยนแปลงโลกใกล้ตัวกว่าที่คาดคิดกันไว้
สกุลเงินดิจิทัล (Cryptocurrency) เป็นสินทรัพย์ดิจิทัลประเภทหนึ่งที่มีการเข้ารหัส มีราคากลางในการซื้อขายแปรผันตามกลไกตลาด จึงสามารถทำหน้าที่เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนมูลค่าผ่านเทคโนโลยีบล็อกเชน (Blockchain) ไม่มีตัวกลาง การชำระหรือการโอนเงินทำได้ภายในเครือข่ายมีความรวดเร็ว ต้นทุนต่ำและปลอดภัย ต่างจากสกุลเงินที่เป็นเหรียญหรือกระดาษทั่วไป
ปัจจุบันสกุลเงินดิจิทัลมีมากกว่า 7,000 สกุลเงินที่มีการซื้อขายกันผ่านแพลตฟอร์มซื้อขายกันทั่วโลก ที่คนรู้จักกันมากที่สุดก็คือ บิทคอยน์ (Bitcoin), อีเธอร์เรียม (Ethereum) และเอ็กซ์อาร์พี (XRP) เป็นต้น สกุลเงินดิจิทัลที่เอกชนสร้างขึ้นมา ธนาคารกลางส่วนใหญ่ยังไม่รับรอง แต่สามารถนำไปชำระซื้อสินค้าได้ ทั่วโลกเริ่มเป็นที่ยอมรับกัน
สำหรับประเทศไทย บริษัทแสนสิริและบริษัทอนันดา ได้เปิดรับสกุลเงินดิจิทัลให้ลูกค้านำไปซื้อบ้านและคอนโดมิเนียมได้ทุกโครงการ โรงภาพยนตร์เมเจอร์ ซีเนเพล็กซ์ รับแลกเป็นบัตรชมภาพยนตร์ บริษัท เรนาสโซ มอเตอร์ ตัวแทนจำหน่ายรถสปอร์ตหรู ลัมโบร์กินีหรือแม้แต่รองเท้านันยางได้ประกาศรับชำระด้วยสกุลเงินดิจิทัลเช่นกัน
กระแสของคริปโตเคอร์เรนซี หรือสกุลเงินดิจิทัล จึงถูกคาดหมายว่าจะเป็นที่นิยมใช้กันแพร่หลายในอนาคตอันใกล้นี้ จึงทำให้มีนักลงทุนแห่เข้ามาลงทุนสกุลเงินดิจิทัลกันเป็นจำนวนมาก ทำให้ราคามีความผันผวนหนักมีความเสี่ยงสูงมาก ซึ่งเป็นที่มาของการออกสกุลเงินดิจิทัลที่เรียกว่า Stable Coin ซึ่งมีมูลค่าค่อนข้างคงที่ ราคาไม่ผันผวนเหมือนสกุลเงินดิจิทัลทั่วไป
เช่น เหรียญดิจิทัล USDT ถูกสร้างขึ้นให้มีมูลค่าใกล้เคียงกับ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ ผู้สร้างระบุว่าได้นำไปผูกค่าเงินดอลลาร์ จึงเป็นที่ต้องการในตลาดเปรียบเสมือนที่หลบภัยของนักลงทุนเพื่อเลี่ยงความเสี่ยง โดยนักลงทุนส่วนใหญ่มักใช้ USDT เป็นตัวกลางในการแลกเปลี่ยนคริปโตเคอร์เรนซีสกุลอื่นๆ USDT ถูกมองว่าเป็นสกุลเงินที่ผู้คนทั่วโลกจะนำไปใช้กันทั่วโลก โดยไม่ต้องเสียเวลาแลกเปลี่ยนสกุลเงินท้องถิ่นไปเป็นดอลลาร์สหรัฐฯ ไม่มีความเสี่ยงกับค่าเงินดอลลาร์ที่แข็งค่าหรืออ่อนค่า ไม่เสียเวลาแลกเงิน จนถึงขั้นจินตนาการไปไกลว่าอาจจะมาทดแทนสกุลเงินท้องถิ่นที่ใช้กันแต่ในประเทศในอนาคต
อย่างไรก็ตาม USDT ยังถูกตั้งข้อสงสัยว่า มีเงินทุนสำรองที่เป็นเงินดอลลาร์ มาค้ำประกันตามจำนวนเหรียญที่ออกมาหมุนเวียนในตลาด 100% หรือไม่ จากเอกสารรับรองสินทรัพย์ตามข้อตกลงจากการฟ้องร้องของ New York State Attorney General (NYAG) เพื่อตรวจสอบความโปร่งใส โดยเอกสารข้างต้นระบุว่า USDT มีเงินทุนสำรองเพียง 3.87% เท่านั้น แต่เป็นเอกสารเพียงหน้าเดียวที่ยังไม่สามารถยืนยันสินทรัพย์ทั้งหมดได้
การซื้อขายเพื่อเก็งกำไรในสกุลเงินดิจิทัลมีความผันผวนและมีความเสี่ยงสูงมาก แม้จะมีโอกาสทำกำไรได้รวดเร็วในพริบตา แต่ก็มีโอกาสขาดทุนสูงมากเช่นกัน จำเป็นต้องมีการศึกษา ติดตามข้อมูลและคำแนะนำให้ผู้ให้บริการซื้อขายอย่างใกล้ชิด ยิ่งการซื้อขายดังกล่าวสามารถทำธุรกรรมได้ตลอด 24 ชั่วโมงและไม่มีวันหยุด
อีกหนึ่งเหตุผลของการใช้สกุลเงินดิจิทัล มาจากการที่ประเทศที่ค่าเงินท้องถิ่นไม่มีเสถียรภาพ เช่นประเทศเวเนซุเอลาที่ประสบภาวะวิกฤติเศรษฐกิจ ทำให้เงินเฟ้อสูงมากเกือบ 1 ล้านเปอร์เซ็นต์ ค่าเงินโบลิวาร์แทบจะกลายเป็นกระดาษไร้ค่า เมื่อ 3 ปีที่ผ่านมา เนื้อไก่สดน้ำหนัก 2.4 กก. มีราคาขายตามท้องตลาดถึง 14.6 ล้านโบลิวาร์ (ราว 73 บาท) กระดาษชำระม้วนหนึ่งมีราคา 2.6 ล้านโบลิวาร์
จนทำให้รัฐบาลต้องแก้ปัญหาด้วยการตัดตัวเลขศูนย์ข้างหลังออกไปถึง 6 ตัวเพื่อการทำธุรกรรมง่ายขึ้น ด้วยการออกธนบัตรใหม่ 100 โบลิวาร์ สำหรับใช้ธนบัตรแทนใบละ 1 ล้าน (8.25 บาท) นับเป็นความพยายามรอบใหม่ในการแก้ปัญหาเงินเฟ้อรุนแรงที่ต่อเนื่องมายาวนานหลายปี
จากปัญหาดังกล่าวทำให้ชาวเวเนซุเอลาหันไปถือสกุลเงินดิจิทัลแทน แม้รัฐบาลจะออกสกุลเงินดิจิทัลแห่งชาติชื่อ “Petro Coin” ที่หนุนหลังด้วยมูลค่าบ่อน้ำมันของรัฐ แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จที่จะดึงให้คนกลับมาเชื่อถือในเงินของรัฐได้
สกุลเงินดิจิทัลที่รัฐบาลกลางของแต่ละประเทศ (Central Bank Digital Currency : CBDC) มีคุณสมบัติครบถ้วน มีมูลค่าแน่นอนใช้แทนสกุลเงินท้องถิ่นได้ตามกฎหมาย หลายๆ ประเทศมีนโยบายผลักดันการใช้สกุลเงินดิจิทัล เช่น ธนาคารกลางจีน ได้สร้างหยวนดิจิทัลเงินมาแทนเงินกระดาษ และทำงานร่วมกับเอกชนและแพลตฟอร์มเพื่อรับชำระค่าสินค้าและบริการต่างๆ
รัฐบาลสิงคโปร์มองเห็นโอกาสในการเป็นศูนย์กลางสินทรัพย์ดิจิทัล ได้อนุมัติให้ผู้ให้บริการซื้อขายแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัลสามารถดำเนินการได้อย่างถูกต้อง เป็นไปตามกฎหมายบริการชำระเงินของสิงคโปร์ที่ออกมา เพื่อรองรับการลงทุนรูปแบบใหม่และการคุ้มครองนักลงทุน รวมทั้งเพื่อตรวจสอบตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลไม่ให้เป็นแหล่งการฟอกเงิน ฉ้อโกง หรือการจัดหาทุนเพื่อก่อการร้าย รวมถึงการควบคุมความเสี่ยงด้านเทคโนโลยี ปัจจุบันมีชาวสิงคโปร์มากถึง 43% ที่ถือครองสกุลเงินดิจิทัล
สำหรับในประเทศไทยนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ธปท.ยังไม่ได้ยอมรับคริปโตเคอร์เรนซีในลักษณะของ “เงินที่สามารถชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย” แต่จะอยู่ในลักษณะ “สินทรัพย์” เพื่อการลงทุน เนื่องจากคริปโตเคอร์เรนซี ไม่มีสินทรัพย์หนุนหลังเท่ากับมูลค่าเช่นเดียวกับ “เงิน”
อย่างไรก็ตาม ธปท.ได้พัฒนา Retail CBDC หรือเงินดิจิทัลของ ธปท.ขึ้นมา เพื่อสร้างเป็นโครงสร้างพื้นฐานของระบบเงินดิจิทัลของไทยจะเอื้อต่อการพัฒนานวัตกรรมทางการเงินที่ใช้เทคโนโลยีใหม่ๆเพิ่มขึ้น โดยจะเน้นความปลอดภัยเปิดกว้างต่อการเข้าถึงแหล่งเงินและบริการทางการเงินของประชาชนทุกกลุ่ม รวมทั้งยังเอื้อต่อการเข้ามาแข่งขันของธุรกิจการเงินใหม่ๆ ในอนาคต โดยไม่กระทบกับระบบการเงินของไทยโดยรวม
การออกเงินดิจิทัลของ ธปท.จะเป็นลักษณะ Stable Coin เช่น ไทยบาทดิจิทัล 1 บาท จะต้องมีสินทรัพย์หนุนหลังเท่ากันคือ 1 บาท โดยลักษณะสำคัญที่สังเกตได้ คือ 1.รูปแบบจะคล้ายเงินสด และไม่จ่ายดอกเบี้ย 2.อาศัยตัวกลาง เช่น สถาบันการเงิน ในการแลกเปลี่ยนกับประชาชน
3.มีเงื่อนไขหรือระยะเวลาสำหรับการแลกเปลี่ยน Retail CBDC จำนวนมากๆ เพื่อไม่ให้เกิดการแข่งขันกับเงินฝากหรือเกิดการโยกย้ายเงินฝากปริมาณมากอย่างรวดเร็วจากสถาบันการเงิน และจากการสอบถามความเห็นของประชาชนจะมีความต้องการใช้ Retail CBDC ค่อยเป็นค่อยไป โดยอาจถูกใช้ทดแทนเงินสดและ e-money ได้บางส่วนในระยะต่อไป
ขณะนี้อยู่ระหว่างการทดสอบระดับพื้นฐาน เพื่อศึกษาการใช้งาน Retail CBDC ในการรับแลก หรือใช้ชำระค่าสินค้าหรือบริการในวงจำกัด ธปท. คาดว่าจะเริ่มทดสอบในไตรมาส 2 ปี 2565 จากนั้นอีกระยะจะเริ่มการทดสอบระดับนวัตกรรม (Innovation Track) เพื่อศึกษาแนวทางการพัฒนาต่อยอดการใช้งาน Retail CBDC ในกรณีต่างๆ โดย ธปท.จะเปิดโอกาสให้ภาคเอกชนหรือนักพัฒนาเข้าร่วมการทดสอบด้วย โดยในขณะนี้ยังไม่ได้กำหนดวันเวลาในการนำมาใช้จริงในระบบการเงินไทยที่ชัดเจน
*****************
สำหรับดีลซื้อขายหุ้น Bitkub ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลมีรายได้จากการคิดค่าธรรมเนียม รวมทั้งการรับฝากถอนสินทรัพย์ทุกประเภท ทำให้มูลค่าของบริษัทได้เพิ่มขึ้นเป็น 35,000 ล้านบาท
นับเป็นสตาร์ตอัพของไทยรายที่ 3 ที่ยกระดับเป็นยูนิคอร์น (Unicorn) ซึ่งเป็นระดับมูลค่ามากกว่า 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯขึ้นไป ต่อจากบริษัทแฟลช เอ็กซ์เพรส และ บริษัท แอสเซนด์ มันนี่ ผู้ให้บริการ True Money ของเครือซีพี
นับเป็นอีกยุทธศาสตร์ที่สำคัญเพื่อยกระดับยานแม่ SCBX สู่ฟินเทค และพร้อมที่จะทรานส์ฟอร์มลูกค้าธนาคารไปสู่โลกดิจิทัลพร้อมๆกัน และผลักดันสกุลเงินดิจิทัลในประเทศให้มีการใช้แพร่หลายเร็วมากขึ้นด้วยการหาผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ๆเข้ามาเสริมผ่านแพลตฟอร์ม
ผู้คนอาจจะใช้เงินในรูปแบบกระดาษน้อยลงเรื่อยๆ และระบบธนาคารแบบดั้งเดิมจะค่อยๆเลือนรางหายไปในอนาคต.
ทีมเศรษฐกิจ