คุณอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ให้สัมภาษณ์ วารสารการเงินธนาคาร ฉบับพฤศจิกายนคาดว่า เศรษฐกิจไทยปี 2564 จะไม่ติดลบ แต่จะเติบโตเฉลี่ย 0.7-1.3% สวนทางกับหน่วยงานเอกชนที่คาดว่าจีดีพีปีนี้จะติดลบ ปีหน้า 2565 คุณอาคม บอกว่า หน่วยงานด้านเศรษฐกิจไทยยังคาดจะขยายตัวได้ 3-4% แต่รัฐบาลมองว่าจะขยายตัวได้ 4-5% ปัจจัยที่จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในปีหน้าคือ กระทรวงการคลังจะยังออกมาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายอย่างต่อเนื่อง ควบคู่กับ มาตรการสนับสนุนสินเชื่อและมาตรการพักชำระหนี้ของแบงก์ชาติ
ข้อมูลจาก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง สะท้อนว่า เศรษฐกิจไทยกำลังฟื้นตัว
รัฐมนตรีอาคม ได้เปิดเผยถึง แนวทางการกระตุ้นการใช้จ่าย ในปี 2565 ว่าอาจจะเป็นโครงการเดิมแต่เอามาทำใหม่ เช่น โครงการคนละครึ่งเฟส 4 และ โครงการช้อปดีมีคืน รวมถึง มาตรการสินเชื่อ การพักชำระหนี้ แต่ปัจจัยสำคัญที่จะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจปี 2565 ก็คือการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ โดยมีเม็ดเงินที่ใช้กระตุ้นเศรษฐกิจ 3 ส่วน คือ เงินจาก พ.ร.ก.เงินกู้ 2 ฉบับ วงเงิน 1.5 ล้านล้านบาท งบประมาณปี 2565 วงเงิน 3.1 ล้านล้านบาท จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจไตรมาสสุดท้ายปี 2564 และ เงินจากรัฐวิสาหกิจอีก 300,000 ล้านบาท โดย คุณอาคม ยืนยันว่า เม็ดเงินของรัฐบาลออกตามกำหนดแน่นอน
ทำให้ไตรมาส 4 ปีนี้ไปจนถึงงบประมาณปีหน้า จะมีเงินเข้าสู่ระบบสูงถึง 3.7 ล้านล้านบาท
คุณอาคม เปิดเผยว่า นโยบายหลังการแพร่ระบาดของโควิด-19 กระทรวงการคลังจะมุ่งเน้นการขับเคลื่อนด้วย “เครื่องยนต์เศรษฐกิจตัวใหม่” และ “การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ” เพื่อให้สามารถเติบโตได้ในระยะยาว ประกอบด้วย 3 เครื่องยนต์หลักคือ
1.การส่งเสริมเศรษฐกิจ BCG หรือ Bio Circular Green Economy จะให้ความสำคัญในการใช้ทรัพยากรชีวภาพเพื่อสร้างสินค้ามูลค่าสูง คำนึงถึงการนำวัสดุกลับมาใช้ประโยชน์ให้มากที่สุด และการพัฒนาเศรษฐกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งรัฐบาลได้ดำเนินการไปบ้างแล้ว เช่น การออกพันธบัตรเพื่อสิ่งแวดล้อม เพื่อสังคม และเพื่อความยั่งยืน การส่งเสริมการลงทุนในยานยนต์ไฟฟ้าภายในปี 2573 ในต้นปีนี้รัฐบาลประสบความสำเร็จในการออก พันธบัตรรัฐบาลเพื่อความยั่งยืน และได้รับการจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ลักเซมเบิร์ก
2.การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจไปสู่อุตสาหกรรมใหม่ โดยการ เร่งลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ และ มุ่งเน้นการลงทุนใน 12 อุตสาหกรรมเป้าหมาย (S-Curve) อาทิ อุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวกลุ่มรายได้ดี การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ และอุตสาหกรรมการแพทย์ครบวงจร รวมทั้ง การลงทุนในโครงการอีอีซี เพื่อเป็น “เครื่องยนต์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจตัวใหม่” ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขัน การกระตุ้นเศรษฐกิจต้องมี New Growth หรือ เครื่องยนต์ตัวใหม่ ซึ่งก็คือ โครงการใน EEC ที่แบ่งออกเป็น 3 ส่วนคือ โครงสร้างพื้นฐาน โครงสร้างของรัฐด้านนวัตกรรม โครงการของเอกชน ตั้งแต่ปี 2565 เป็นต้นไป
3.การปรับเข้าสู่ความเป็นดิจิทัล (Digitalization) เป็นอีกกุญแจสำคัญที่จะช่วยยกระดับความสามารถในการแข่งขันของไทย คุณอาคม บอกว่า มีคนเอาเศรษฐกิจไทยไปเปรียบเทียบกับเพื่อนบ้านว่า เราโตตํ่าสุดในอาเซียน แต่ต้องไม่ลืมว่า เศรษฐกิจเราใหญ่อันดับ 2 ในอาเซียน การฟื้นตัวไม่ใช่เรื่องง่าย จึงต้อมี “เครื่องยนต์ใหม่” หรือ New Growth เพื่อให้เศรษฐกิจเติบโตในระยะยาว
ถ้าทุกอย่างเป็นไปตามแผน ปีหน้าเศรษฐกิจไทยคงได้เงยหน้าอ้าปาก แน่นอน.
“ลม เปลี่ยนทิศ”