จากกรณีมีผู้เสียหายหลายราย พบว่า เงินหายจากบัญชีบัตรเครดิต และบัตรเดบิต ซึ่งมีการรูดซื้อสินค้า และบริการจากต่างประเทศ ล่าสุดทางธนาคารแห่งประเทศไทย หรือแบงก์ชาติ และสมาคมธนาคารไทย ได้ทำการตรวจสอบพบว่า เคสที่เกิดขึ้นนั้นไม่ได้มาจากการรั่วไหลของข้อมูลจากธนาคารอย่างที่หลายคนกังวล
แต่เกิดจากการทำธุรกรรมชำระค่าสินค้า และบริการ กับร้านค้าออนไลน์ที่จดทะเบียนในต่างประเทศเป็นส่วนใหญ่ และไม่ใช่แอปฯ ดูดเงินอีกด้วย อย่างไรก็ตาม ทางธนาคารเจ้าของบัตรได้ดำเนินการระงับการใช้บัตรของลูกค้าที่มีรายการผิดปกติ และติดต่อลูกค้า รวมทั้งอยู่ระหว่างดำเนินการตรวจสอบร้านค้าที่มีธุรกรรมที่ผิดปกติเหล่านี้แล้ว ซึ่งอาจจะต้องใช้เวลาในการตรวจสอบปัญหาที่เกิดขึ้น
ทั้งนี้ "ทีมข่าวไทยรัฐออนไลน์" ได้รวบรวมวิธีการแก้ปัญหาเงินหายจากบัญชีบัตรเครดิต และบัตรเดบิต และบัญชีเงินฝาก ดังนี้
1. แจ้งอายัดบัตรเครดิต และบัตรเดบิตทันที เพื่อป้องกันไม่ให้มีการนำเลขหน้าบัตร และบัตรเดบิต 16 หลัก รวมถึง เลข CVV หรือ CVC 3 ตัวหลังไปใช้
2. แจ้งคอลเซ็นเตอร์ว่า ปฏิเสธการจ่ายรายการ หรือธุรกรรมต่างๆ จากต่างประเทศ แต่ถ้าหากมีความจำเป็นจะต้องซื้อ หรือใช้บริการ ให้โทรศัพท์กลับไปเปิดใช้บริการอีกครั้ง
3. เก็บหลักฐานทั้งหมดไปลงบันทึกประจำวันที่สถานีตำรวจ
4. ตรวจสอบใบแจ้งหนี้บัตรเครดิต และบัญชีที่มีบัตรเดบิตอยู่เสมอ ซึ่งทางธนาคารจะใช้เวลาในการตรวจสอบธุรกรรมที่เกิดขึ้น จากนั้นจะคืนเงิน หรือวงเงินบัตรเครดิตให้ตามเดิม
5. ควรตั้งลิมิตการใช้จ่ายบัตรเครดิต และบัตรเดบิต หรือที่เรียกว่า จำกัดวงเงินในการใช้จ่าย และมั่นตรวจสอบการใช้บัตรเครดิตอยู่เสมอ
สำหรับเบอร์โทรคอลเซ็นเตอร์ธนาคารมีดังนี้
ธนาคารกรุงเทพ โทร. 1333
ธนาคารกสิกรไทย โทร. 0-2888-8888
ธนาคารไทยพาณิชย์ โทร. 0-2777-7777
ธนาคารกรุงไทย โทร. 0-2111-1111
บัตรกรุงไทย หรือ KTC โทร. 0-2123-5000
ธนาคารกรุงศรี โทร. 1572
ธนาคารเกียรตินาคิน โทร. 0-2165-5555
ธนาคารทหารไทยธนชาต หรือ ttb โทร. 1428
ธนาคารออมสิน โทร. 1115
ธนาคาร ธอส. โทร. 0-2645-9000
ธนาคาร ธ.ก.ส. โทร. 0-2555-5555
ธนาคาร UOB โทร. 0-2285-1555
ธนาคาร CIMB โทร. 0-2626-7777
ธนาคาร ทิสโก้ โทร. 0-2633-6000
ธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ โทร. 1327
ธนาคารแห่งประเทศจีน โทร. 0-2679-5566
ธนาคาร ICBC โทร. 0-2629-5588
Citibank โทร. 1588
ธนาคารไทยเครดิตเพื่อรายย่อย โทร. 0-2697-5454