ก๊าซหุงต้มขย่มครัวเรือน ขึ้นวันนี้ กิโลละ 1 บาท ถัง 15 กก.โขกยับ 378 บาท

Economics

Thailand Econ

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

Tag

ก๊าซหุงต้มขย่มครัวเรือน ขึ้นวันนี้ กิโลละ 1 บาท ถัง 15 กก.โขกยับ 378 บาท

Date Time: 1 ก.ค. 2565 05:05 น.

Summary

  • ประชาชนคนไทยหัวจะปวด หลังสินค้าหลายประเภทพาเหรดขึ้นราคาแพงทั้งแผ่นดิน ร้องจ๊ากก๊าซหุงต้ม (แอลพีจี) ขึ้นราคาอีกแล้ว ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค. ปรับขึ้นอีก กก.ละ 1 บาท ทำให้ราคาขายปลีกก๊าซหุงต้ม

Latest

“พิชัย”หวังดึงทัพลงทุนญี่ปุ่นกลับไทย  โชว์วิสัยทัศน์บนเวทีฟอรั่มใหญ่ หนุนอุตสาหกรรมแห่งอนาคต

ประชาชนคนไทยหัวจะปวด หลังสินค้าหลายประเภทพาเหรดขึ้นราคาแพงทั้งแผ่นดิน ร้องจ๊ากก๊าซหุงต้ม (แอลพีจี) ขึ้นราคาอีกแล้ว ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค. ปรับขึ้นอีก กก.ละ 1 บาท ทำให้ราคาขายปลีกก๊าซหุงต้มขนาดถัง 15 กก. จะอยู่ที่ราคา 378 บาท/ถัง ปตท.ประเมินราคาเฉลี่ยน้ำมันดิบดูไบปีนี้แตะ 103-104 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ด้านกระทรวงพาณิชย์จับเข่าคุยห้าง-ร้านสะดวกซื้อ ทุกรายยันยังไม่ปรับขึ้นราคาขาย ขณะที่กรมการค้าภายในยอมรับน้ำอัดลมเตรียมขึ้นราคา 1 ก.ค. แต่ในข่าวร้ายยังมีข่าวดี สมาคมผู้ประกอบการข้าวถุงไทย สมาคมโรงสีข้าวไทย สมาคมโรงสีข้าวภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ยืนยันไม่ขึ้นราคาข้าวสารถุงแต่จะจัดจุดจำหน่ายข้าวถุงราคาประหยัดทั่วประเทศร่วมกับกรมการค้าภายใน ขณะที่บุญรอดฯอั้นไม่ไหวแล้วขอปรับราคา “เบียร์ลีโอ” 1 บาท

คนไทยกระอักอีกหลังสินค้าทั้งเครื่องอุปโภค บริโภคแพงทั้งแผ่นดิน ทั้งนี้ ในวันที่ 1 ก.ค. ราคาก๊าซหุงต้ม (แอลพีจี) จะมีการปรับราคาขึ้นอีกกิโลกรัม (กก.) ละ 1 บาท ส่งผลให้ราคาขายปลีกก๊าซหุงต้มขนาดถัง 15 กก. จะปรับขึ้นอีก 15 บาทไป อยู่ที่ราคา 378 บาท/ถัง ตามมติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ที่มีนายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รมว.พลังงาน เป็นประธาน เพื่อลดภาระการจ่ายเงินชดเชยราคาแอลพีจีของกองทุนน้ำมัน เพื่อช่วยเหลือประชาชนตามนโยบายรัฐบาลก่อนหน้านี้ โดยรัฐบาลยังช่วยเหลือส่วนลดค่าซื้อก๊าซหุงต้มแก่ผู้มีรายได้น้อยผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 100 บาท/คน/3 เดือน มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค.-30 ก.ย.

ขณะเดียวกัน เมื่อวันที่ 27 มิ.ย.กองทุนน้ำมันมีสถานภาพติดลบ 102,586 ล้านบาท สูงสุดเป็นประวัติการณ์ แบ่งเป็นบัญชีน้ำมันติดลบ 65,202 ล้านบาท เป็นบัญชีก๊าซหุงต้มติดลบ 37,384 ล้านบาท มีเงินฝากเป็นสภาพคล่องของกองทุนน้ำมัน 3,310 ล้านบาท ล่าสุด กองทุนน้ำมันจ่ายชดเชยราคาขายปลีกน้ำมันอยู่ที่ 10.77 บาท/ลิตร เพื่อตรึงราคาไว้ที่ 34.94 บาท/ลิตร ไม่ให้เกินเพดานที่ 35 บาท/ลิตร จากราคาจริงจะอยู่ที่ 45.71 บาท/ลิตร

นายอรรถพล ฤกษ์พิบูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ปตท.ประเมินว่า สถานการณ์ราคาน้ำมันดิบ 6 เดือนสุดท้ายของปีนี้จะทรงตัวในระดับสูงที่ระดับ 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลบวกลบ หรือมีราคาเฉลี่ยทั้งปีนี้ อยู่ที่ 103-104 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล นับว่าสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ทำให้ต้นทุนราคาขายปลีกพลังงานโดยรวมของประเทศไทยทั้งน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ เอ็นจีวี และก๊าซหุงต้ม (แอลพีจี) ยังอยู่ในระดับสูง ดังนั้น แนวทางรับมือกับปัญหาดังกล่าว คือ ทุกภาคส่วนต้องร่วมกันประหยัดการใช้พลังงาน เพื่อลดต้นทุนการนำเข้าพลังงานจากต่างประเทศในช่วงที่ราคาแพง ขณะที่ทุกธุรกิจในกลุ่ม ปตท.ทำประกันความเสี่ยงราคา สินค้าเพื่อบริหารความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาไว้รองรับแล้ว

“ส่วนตัวมองว่า ราคาน้ำมันดิบในปี 2566 จะอ่อนตัวลงต่ำกว่าระดับ 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล หากไม่มีสถานการณ์ไม่คาดคิดเกิดขึ้นเพิ่มเติม เช่น ปัญหาสู้รบระหว่างประเทศมหาอำนาจ การคว่ำบาตรรัสเซียที่ไม่รุนแรงขึ้น โดยราคาน้ำมันดิบที่มีแนวโน้มอ่อนตัวลงในปีหน้า เนื่องจากคาดว่าจะมีซับผลผลิตน้ำมันดิบเข้าสู่ตลาดโลกมากขึ้น หลังกลุ่มประเทศผู้ผลิตและผู้ส่งออกน้ำมันรายใหญ่ของโลก (โอเปก) เตรียมปรับเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันเดือนละ 600,000 บาร์เรลต่อวัน ปลายปีนี้จะมีการผลิตน้ำมันดิบป้อนเข้าตลาดโลกอีก 3 ล้านบาร์เรลต่อวัน ประกอบกับทิศทางเศรษฐกิจโลกไม่ได้เติบโตมากนัก ทำให้ความต้องการใช้น้ำมันยังไม่หวือหวา จึงน่าจะส่งผลให้ราคาน้ำมันอ่อนตัวลงได้” นายอรรถพลกล่าว

ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) กล่าวอีกว่าสำหรับแนวโน้มผลการดำเนินงานของ ปตท.ไตรมาส 2 คาดว่ายอดขายจะปรับเพิ่มขึ้นจากไตรมาส 1 ที่ผ่านมาและสูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนเป็นไปตามทิศทางราคาน้ำมันที่ปรับสูงขึ้นและโควิด-19 เริ่มคลี่คลาย รวมทั้งมีการเปิดประเทศทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจเริ่มกลับมาคึกคักมากขึ้น จึงส่งผลให้รายได้ของกลุ่ม ปตท.ปรับสูงขึ้น 5 เดือนสุดท้ายของปีนี้ กลุ่ม ปตท.ยังจะเดินหน้าขยายการลงทุนด้านพลังงานตามแผนลงทุน 5 ปี เนื่องจากส่วนใหญ่เป็นการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานพลังงานที่ต้องวางแผนการลงทุนระยะยาว เพื่อรองรับการเติบโตของเศรษฐกิจในอนาคต แต่การลงทุนในธุรกิจที่ไม่ใช่เทรนด์ของอนาคตกลุ่ม ปตท.ก็จะไม่ลงทุนเพิ่มเติม เช่น ธุรกิจโรงกลั่นน้ำมัน เป็นต้น ทั้งนี้ 6 เดือนแรกของปีนี้ ปตท.ได้เข้าไปช่วยแบ่งเบาภาระต้นทุนราคาพลังงานให้กับกลุ่มเปราะบางทั้งการใช้ส่วนลดราคาเอ็นจีวีและแอลพีจี รวมวงเงิน 3,300 ล้านบาทและจะยังยืดอายุมาตรการช่วยเหลือตามนโยบายรัฐบาลต่อไปอีก 3 เดือน (ก.ค.-ก.ย.) เพื่อบรรเทาภาระค่าครองชีพให้กับประชาชนกลุ่มเปราะบาง

ด้านนายวัฒนศักย์ เสือเอี่ยม อธิบดีกรมการค้าภายใน กล่าวว่า เมื่อวันที่ 29 มิ.ย. กรมได้ประชุมกับห้างค้าส่งค้าปลีกและร้านสะดวกซื้อ เช่น แม็คโคร บิ๊กซี โลตัส ท็อปส์ ฟู้ดแลนด์ เซเว่น-อีเลฟเว่น ลอว์สัน ซีเจ เอ็กซ์เพรส แมกซ์ แวลู ติดตามสถานการณ์ราคาสินค้า พบว่าภายหลังจากที่มีการผ่อนคลายมาตรการการควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 แล้ว ทำให้ประชาชนจับจ่ายใช้สอยเพิ่มขึ้น เฉลี่ย 10-20% โดยในแหล่งที่เป็นสถานที่ท่องเที่ยว หรือมีนักท่องเที่ยวพักอาศัยจะมียอดขายเพิ่มขึ้นถึง 40-50%

อธิบดีกรมการค้าภายในกล่าวต่อว่า สำหรับสถานการณ์ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นต่อการครองชีพ ทุกห้างยืนยันว่าจะไม่มีการปรับขึ้นราคาในช่วงนี้และยินดีจะให้ความร่วมมือกับกระทรวงพาณิชย์จัดโปรโมชันอย่างต่อเนื่อง เพื่อช่วยลดภาระค่าครองชีพให้กับประชาชนและกรมยังได้ขอความร่วมมือตรึงอัตราค่าธรรมเนียมต่างๆ ในช่วงนี้ สำหรับราคาจำหน่ายปลีกจะต้องไม่ให้เอาเปรียบผู้บริโภค โดยให้ปิดป้ายแสดงราคาอย่างชัดเจน ส่วนกรณีข้าวสารบรรจุถุงที่มีกระแสข่าวว่าจะปรับขึ้นราคาก่อนหน้านี้ กรมได้ประชุมกับสมาคมผู้ประกอบการข้าวถุงไทย สมาคมโรงสีข้าวไทย สมาคมโรงสีข้าวภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ทุกฝ่ายยืนยันว่าจะไม่ปรับขึ้นราคา ทั้งในส่วนผู้ประกอบการข้าวถุงและโรงสี ในฐานะผู้แปรรูปข้าวเปลือกเป็นข้าวสาร นอกจากนี้จะจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายหมุนเวียนแต่ละยี่ห้ออย่างสม่ำเสมอ รวมทั้งจะจัดให้มีจุดจำหน่ายข้าวถุงราคาประหยัดทั่วประเทศร่วมกับกรมการค้าภายในอีกด้วย

“กรณีที่มีการฉวยโอกาสขึ้นราคา หรือจำหน่ายแพงเกินสมควร จะมีโทษตามมาตรา 29 แห่ง พ.ร.บ. ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. 2542 จำคุกไม่เกิน 7 ปี ปรับไม่เกิน 140,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และกรณีที่ไม่ปิดป้ายแสดงราคาจะมีโทษปรับสูงสุด 10,000 บาท หากพบเห็นพฤติกรรมดังกล่าว สามารถแจ้งได้ที่สายด่วนกรมการค้าภายใน โทร. 1569 หรือสำนักงานพาณิชย์จังหวัดทุกจังหวัดจะสั่งเจ้าหน้าที่ออกตรวจสอบ หากพบผิดจะดำเนินการตามกฎหมายขั้นเด็ดขาด” นายวัฒนศักย์กล่าว

ร้อยตรีจักรา ยอดมณี รองอธิบดีกรมการค้าภายใน กล่าวถึงข่าวที่น้ำอัดลมและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เตรียมปรับขึ้นราคาขายตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค. ว่า ที่ผ่านมาได้ขอความร่วมมือผู้ประกอบการน้ำอัดลมตรึงราคามาตั้งแต่ต้นปีและได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดี แต่เดือนที่แล้วได้รับแจ้งจากผู้ผลิตบางรายว่ามีภาระต้นทุนสินค้าที่เพิ่มขึ้นมาก เช่น ค่าบรรจุภัณฑ์ โดยเฉพาะกระป๋องอะลูมิเนียม ค่าขนส่งและโลจิสติสก์ ผลกระทบจากค่าเงินบาทที่อ่อนค่า ทำให้ต้นทุนการนำเข้ายิ่งสูงขึ้นมาก ทำให้มีความจำเป็นต้องปรับขึ้นราคาขายสินค้า จึงได้เชิญผู้ผลิตน้ำอัดลมมาหารือเพื่อติดตามสถานการณ์และขอความร่วมมือชะลอการปรับราคา แต่บางรายได้ชี้แจงความจำเป็นในการปรับราคาด้วยเหตุผลด้านต้นทุนดังกล่าว กรมรับทราบและขอความร่วมมือให้ปรับขึ้นราคาแบบให้มีผลกระทบต่อผู้บริโภคน้อยที่สุด ขณะที่รายใดที่สามารถบริหารต้นทุนได้ขอความร่วมมือให้ตรึงราคา ต่อไป

“แม้น้ำอัดลม เครื่องดื่มต่างๆ ไม่ได้เป็นสินค้าควบคุม แต่เป็นสินค้าที่ประชาชนส่วนหนึ่งนิยมบริโภค กรมจึงได้ติดตามดูแลอย่างใกล้ชิดมาโดยตลอด สำหรับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่จะปรับราคา โดยหลักแล้วกรมจะเน้นเข้าไปกำกับดูแลสินค้าที่จำเป็นในการครองชีพของประชาชนมากกว่า ส่วนสินค้าอุปโภคบริโภคทั่วไป มีการแจ้งขอปรับราคามาที่กรมบ้าง แต่ยังไม่มีการอนุญาตให้ปรับขึ้นราคาและขอความร่วมมือให้ตรึงราคาต่อไปก่อน” ร้อยตรีจักรากล่าว

ส่วนนายภูริต ภิรมย์ภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บุญรอดเทรดดิ้ง จำกัด เปิดเผยว่า เบียร์ลีโอ ถือเป็นเบียร์ยอดนิยมที่มีการปรับราคาช้าที่สุดในตลาดที่ผ่านมาบริษัทบุญรอดฯ มีความพยายามอย่างยิ่งที่จะยืนยันนโยบายการตรึงราคาสินค้า “เบียร์ลีโอ” โดยไม่มีการปรับขึ้นราคา หรือปรับลดปริมาณสินค้า ทุกขนาดบรรจุ มาตั้งแต่เดือนมีนาคม 2565 ขณะที่ต้นทุนการผลิตสินค้าปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งราคาพลังงานและวัตถุดิบ โดยการตรึงราคาเพื่อลดผลกระทบของผู้บริโภคในสถานการณ์ดังกล่าว

นายภูริตกล่าวต่อว่า ทั้งนี้ เบียร์ลีโอจะมีการปรับขึ้นราคาขายปลีกและขายส่งดังนี้ ขวดใหญ่ (620ml) ปรับขึ้น 12 บาทต่อลัง หรือเท่ากับปรับขึ้น 1 บาทต่อขวด ขวดเล็ก (320ml) ปรับขึ้น 18 บาทต่อลัง หรือเฉลี่ยขวดละ 0.75 บาท กระป๋องยาว (490ml) ปรับขึ้น 11 บาทต่อลัง หรือ 0.90 บาทต่อกระป๋อง กระป๋องสั้น (320ml) ปรับขึ้น 18 บาทต่อลัง หรือกระป๋องละ 0.75 บาท บริษัทขอยืนยันว่าไม่มีนโยบายในการปรับลดปริมาณสินค้าอย่างแน่นอน สำหรับราคาขายปลีกเบียร์ลีโอจะเพิ่มขึ้นลังละ 12 บาท และถาดละ 18 บาท ทำให้ราคาเบียร์ลีโอขวดใหญ่ราคาขายส่งจะอยู่ที่ 616 บาทต่อลัง ขายปลีก 626 บาทต่อลัง และ 59 บาทต่อขวด ส่วนกระป๋องเล็กขายส่งอยู่ที่ 750 บาทต่อถาด ขายปลีก 762 บาทต่อถาด และ 39 บาทต่อกระป๋อง


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ
หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ