นายรณรงค์ พูลพิพัฒน์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) เปิดเผยถึงกรณีที่มีความกังวลว่าไทยจะเข้าสู่ภาวะเงินฝืด (stagflation) เพราะผลกระทบจากราคาน้ำมันตลาดโลกที่สูงขึ้น อาจทำให้เศรษฐกิจไทยถดถอย อัตราว่างงานสูงขึ้น ความต้องการสินค้าและบริการลดลง และเกิดภาวะเงินฝืดได้ว่า เมื่อพิจารณาปัจจัยที่ทำให้เกิดภาวะเงินฝืดแล้ว พบว่า โอกาสที่จะเกิดในไทยน้อยมาก แม้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปของไทยในปัจจุบันสูงขึ้นตามราคาน้ำมันในตลาดโลก แต่คาดว่าในระยะต่อไปราคาน้ำมันจะมีอิทธิพลต่อเงินเฟ้อน้อยลงตามสถานการณ์รัสเซีย-ยูเครน และความตึงตัวด้านอุปทานน้ำมันที่มีแนวโน้มจะคลี่คลาย
นอกจากนี้ เศรษฐกิจและอัตราการว่างงานปี 65 คาดว่าจะดีขึ้นกว่าปี 64 จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในประเทศที่มีความรุนแรงน้อยลง สำหรับโอกาสการเกิดภาวะเงินฝืดในไทยที่น้อยมากนั้น พิจารณาจากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะชะลอลงและอยู่ในระดับที่ไม่สูงมากนัก โดยคาดว่าราคาน้ำมันในตลาดโลกเริ่มมีสัญญาณอ่อนตัวลง คาดว่าอิหร่านจะกลับมาส่งออกน้ำมันได้ในเร็วๆนี้ หากการเจรจาข้อตกลงนิวเคลียร์ระหว่างอิหร่านและชาติตะวันตกได้ข้อสรุป ส่งผลให้ความตึงตัวด้านปริมาณการผลิตน้ำมันในกลุ่มโอเปกน้อยลง
ประกอบกับความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครนมีแนวโน้มที่จะคลี่คลายได้ และไม่น่ายืดเยื้อ เพราะทั้ง 2 ประเทศมีความพยายามเจรจาสันติภาพบ่อยครั้ง
นอกจากนี้ ยังคาดว่าเศรษฐกิจไทยปี 65 จะขยายตัวได้ 3.5-4.5% จากปี 64 ที่ขยายตัว 1.6% จากผลของนโยบายการฟื้นฟูเศรษฐกิจในประเทศของภาครัฐ ทั้งการขับเคลื่อนการใช้จ่ายภายในประเทศ การส่งออก และการส่งเสริมการลงทุน ควบคู่กับการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 และรัฐบาลประกาศให้เป็นโรคประจำถิ่น ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญทำให้เศรษฐกิจมีแนวโน้มดีขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง ส่วนอัตราการว่างงานมีแนวโน้มลดลงตามเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มดีขึ้น จากไตรมาสที่ 4 ปี 64 อยู่ที่ 1.64% ลดลงจาก 2.25% ในไตรมาสก่อนหน้า และเฉลี่ยทั้งปี 64 อยู่ที่ 1.93% ถือว่าไม่สูงมากนัก.