นายเกรียงไกร เธียรนุกุล รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ในฐานะรับผิดชอบดูแล 45 กลุ่มอุตสาหกรรม และ 11 คลัสเตอร์ เปิดเผยว่า ส.อ.ท.กำลังติดตามราคาน้ำมันดิบตลาดโลก ที่ล่าสุดราคาเวสต์เท็กซัสและเบรนท์ได้ขยับสูงสุดในรอบ 7 ปี และโกลด์แมน แซคส์ วาณิชธนกิจรายใหญ่ของสหรัฐฯคาดการณ์ว่าเบรนท์อาจทะยานสู่ 100 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรลได้ในไตรมาส 3 ที่จะยิ่งกดดันให้ภาวะเงินเฟ้อของไทยเพิ่มขึ้น โดยรัฐบาลจำเป็นต้องวางมาตรการรับมือทั้งระยะสั้น กลางและยาว เพราะปีนี้ทั่วโลกและไทยจะเผชิญภาวะเงินเฟ้อและอาจนำไปสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Recession) ซึ่งเป็นคลื่นลูกใหม่ที่จะเข้ามาซ้ำเติม
“สินค้าที่แพงและนำมาสู่ปัญหาเงินเฟ้อ สัญญาณนี้รับรู้ล่วงหน้ากันแล้วเพราะหลังโควิด-19 ดีขึ้น หลายๆประเทศก็ฟื้นตัว ทำให้ความ ต้องการน้ำมัน สินค้าเพิ่ม แต่ที่ผ่านมาการผลิตลดลงเพราะโควิด-19 จึงทำให้เกิดภาวะขาดแคลนหรือตึงตัวโดยเฉพาะน้ำมัน โดยสหรัฐฯพบว่าเงินเฟ้อสูงสุดรอบ 40 ปีอยู่ที่ 7% ขณะที่เงินเฟ้อของไทยขึ้นไป 2.7% สิ่งที่รัฐบาลต้องเร่งแก้ระยะสั้น คือดูแลราคาน้ำมันและค่าอาหารที่แพงขึ้น”
ทั้งนี้ หากเป็นราคาสินค้าอุปโภคและบริโภค สมาชิก ส.อ.ท. 45 กลุ่มในฐานะผู้ผลิตก็พร้อมที่จะช่วยเหลือประชาชน โดยการบริหารสินค้าสต๊อกเก่าที่มีอยู่ด้วยการตรึงราคา ซึ่งจะช่วยตรึงได้อีก 5-6 เดือน ส่วนในกลุ่มของอาหารที่มีราคาแพงจากวัตถุดิบที่สูง เช่น หมู ไก่ ไข่ รัฐบาลจะต้องควบคุมให้เหมาะสม.