ศักดิ์สยาม เผย หลังเปิดให้คนขับรถใช้ความเร็ว 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมงที่เส้นทางบางปะอิน - อ่างทอง พบประชาชนฝ่าฝืนใช้ความเร็วแต่ละช่องจราจรลดลง เล็งเปิดเฟสสอง 1 ก.ย.นี้ อีก 6 สายทาง
เมื่อวันที่ 5 ส.ค. 64 นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม กล่าวว่า หลังจากจากที่กรมทางหลวง ได้เปิดให้ประชาชนสามารถใช้ความเร็วสูงสุดได้ไม่เกิน 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมงที่กำหนดในเส้นทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 32 ช่วง บางปะอิน - อ่างทอง ซึ่งเป็นเส้นทางแรก ตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย.64 ที่ผ่านมาพบว่า ผู้ขับขี่ได้มีการใช้ความเร็วตามความเร็วจำกัดในแต่ละช่องทางดีขึ้น
โดยตรวจสอบจากสัดส่วนยานพาหนะที่วิ่งด้วยความเร็วที่เกินกว่ากฎหมายกำหนดในแต่ละช่องทาง พบว่ามีการฝ่าฝืนการใช้ความเร็วในแต่ละช่องจราจรลดลง เทียบกับก่อนการบังคับใช้ความเร็ว 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งกองบังคับการตำรวจทางหลวงได้รายงานว่า ในช่วงเส้นทางดังกล่าวมีการบังคับใช้กฎหมาย และมีการออกใบสั่งแก่ผู้ฝ่าฝืนอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ได้มีการกำหนดแผนที่จะเปิดเส้นทางที่อนุญาตให้ประชาชนผู้ขับขี่ใช้ความเร็วสูงสุดได้ไม่เกิน 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ในช่องทางขวาสุดเพิ่มเติมใน ระยะที่ 2 เพิ่มขึ้นรวมระยะทางทั้งสิ้น 246 กิโลเมตร ให้ใช้ได้ ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ย. 64 เป็นต้นไป จำนวน 6 สายทาง ประกอบด้วย 1. ทางหลวง 1 (สนามกีฬาธูปะเตมีย์ - ประตูน้ำพระอินทร์) 2. ทางหลวง 1 (หางน้ำหนองแขม - วังไผ่) 3. ทางหลวง 2 (บ่อทอง - มอจะบก)4. ทางหลวง 32 (อ่างทอง - โพนางดำออก) 5. ทางหลวง 34 (บางนา - ทางเข้าท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ) และ 6. ทางหลวง 304 (คลองหลวงแพ่ง - ฉะเชิงเทรา)
ส่วนระยะที่ 3 จะเปิดให้ใช้ได้ ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 65 เป็นต้นไป จำนวน 5 สายทาง ประกอบด้วย 1.ทางหลวง4 (เขาวัง - สระพระ) 2. ทางหลวง 4 (เขาวัง - สระพระ) 3. ทางหลวง 9 (บางแค - คลองมหาสวัสดิ์) 4. ทางหลวง 35 (นาโคก - แพรกหนามแดง) 5. ทล. 219 (สตึก - หัวถนน) กม. 108+500 - กม. 122+000 จ.บุรีรัมย์ ระยะทาง 13.5 กิโลเมตร
ส่วนระยะที่ 4 จะเปิดให้ใช้ได้ ตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย. 65 เป็นต้นไป จำนวน 3 สายทาง ประกอบด้วย 1.ทางหลวง 1 (หนองแค - สวนพฤกษาศาสตร์พุแค) 2. ทางหลวง 347 (เทคโนโลยีปทุมธานี - ต่างระดับเชียงรากน้อย) และ 3. ทางหลวง 219 (สตึก - หัวถนน)
ส่วนเส้นทางหลวงที่จะขอรับการสนับสนุนงบประมาณจากกองทุนเพื่อความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนนเพื่อมาปรับปรุงให้สามารถใช้ความเร็วไม่เกิน 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมงนั้น จะมีการลงนามบันทึกความเข้าใจ หรือ MOU ร่วมกัน ระหว่างกรมการขนส่งทางบก และ กรมทางหลวง ภายในเดือน ส.ค. 64
ขณะเดียวกัน จะให้กรมทางหลวงประชาสัมพันธ์และสื่อสารให้ประชาชนผู้ใช้เส้นทางอย่างทั่วถึงและต่อเนื่อง ทั้งในมิติของเส้นทางที่จะดำเนินการ และวันที่ที่ประชาชนจะสามารถใช้ความเร็วสูงสุดไม่เกิน 120 กม./ชม. ได้ตามกฎกระทรวง และประกาศผู้อำนวยการทางหลวง เพื่อให้เกิดการรับรู้อย่างทั่วถึงและถูกต้องต่อไป
นอกจากนี้ยังได้ติดตามความคืบหน้าโครงการยกระดับความปลอดภัยบนทางหลวงสายหลัก จำนวน 47 เส้นทาง โดยเป็นเส้นทางในภาคเหนือ 9 เส้นทาง ระยะทาง 186 กิโลเมตร เส้นทางในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 7 เส้นทาง ระยะทาง 96 กิโลเมตร เส้นทางในภาคกลาง 15 เส้นทาง ระยะทาง 288 กิโลเมตร เส้นทางในภาคตะวันออก 9 เส้นทาง ระยะทาง 177 กิโลเมตร และเส้นทางในภาคใต้ 7 เส้นทาง ระยะทาง 116 กิโลเมตร รวมระยะทางทั้งสิ้น 863 กิโลเมตร
ทั้งนี้ จะต้องมีการก่อสร้างกำแพงคอนกรีต สะพานกลับรถหรือทางลอดกลับรถ สะพานคนเดินข้าม พร้อมทั้งปรับปรุงกายภาพ เส้นทางให้ปลอดภัย สามารถรองรับความเร็วสูงสุดได้ไม่เกิน 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง โดยได้กำชับให้กรมทางหลวงเตรียมการออกแบบให้เหมาะสม เพื่อให้ประชาชนผู้สัญจรใช้งานได้อย่างสะดวกและปลอดภัย ต่อไป