กรมส่งเสริมการเกษตร จับมือไทยคม และสมาคมประกันวินาศภัย ใช้เทคโนโลยีอวกาศและข้อมูลดาวเทียม มาใช้ในการยกระดับมาตรฐานประกันภัยพืชผลให้แก่เกษตรกรไทยให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ด้วยการนำข้อมูลภูมิสารสนเทศ กับ เอไอ ช่วยลดเวลาวิเคราะห์ข้อมูล

ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวหลังเป็นประธานพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจ ว่าด้วยการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ประสบภัยด้วยการใช้ระบบวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในระบบประกันภัยพืชผลระหว่าง กรมส่งเสริมการเกษตร สมาคมประกันวินาศภัยไทย และบริษัท ไทยคม จำกัด (มหาชน) โดยมี นายประยูร อินสกุล ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายพีรพันธ์ คอทอง อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร ดร.สมพร สืบถวิลกุล นายกสมาคมประกันวินาศภัยไทย นายปฐมภพ สุวรรณศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท ไทยคม จำกัด (มหาชน) ร่วมเป็นสักขีพยาน ณ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ว่า พิธีลงนามดังกล่าวฯ มีวัตถุประสงค์ เพื่อร่วมกันพัฒนาแนวทางการนำระบบวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาใช้ในการประกันภัยพืชผลให้แก่เกษตรกรไทย พร้อมยกระดับมาตรฐานการประกันภัยด้านการเกษตรด้วยการใช้เทคโนโลยีอวกาศให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

...

สำหรับพิธีลงนามดังกล่าวฯ ทั้ง 3 หน่วยงานจะผนึกกำลังร่วมกันพัฒนาการนำระบบวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาใช้ในการประกันภัยพืชผล ด้วยการนำเทคโนโลยี ดาวเทียมสำรวจทรัพยากรโลก (Earth Observation Satellite) ระบบวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analytics System) และเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence/Machine Learning) มาวิเคราะห์ร่วมกับข้อมูลขนาดใหญ่ เช่น ข้อมูลแปลงเกษตรกร พันธุ์ข้าว พื้นที่ประสบภัยพิบัติ และอื่นๆ

มีเป้าหมายสำคัญ คือ เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรผู้ประสบภัยพิบัติให้ได้รับเงินสินไหมทดแทนได้ถูกต้องและรวดเร็ว ทำให้ต้นทุนของเกษตรกรลดลง รวมทั้งช่วยให้ภาครัฐมีข้อมูลที่ถูกต้องแม่นยำในการวางแผนรับมือกับภัยพิบัติได้อย่างทันท่วงที และลดความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นในอนาคต รวมถึงจะช่วยให้ภาครัฐบริหารจัดการงบประมาณได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ นอกจากนี้ ยังมีจุดมุ่งหมายสำคัญในการบูรณาการความร่วมมือการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารต่างๆ อาทิ ข้อมูลสารสนเทศ ข้อมูลภูมิสารสนเทศ และงานด้านวิจัยพัฒนาศักยภาพบุคลากรทั้งสามหน่วยงานให้มีความรู้ความสามารถ มุ่งสู่การขับเคลื่อนในภาคอุตสาหกรรมเกษตรของประเทศไทยให้ก้าวต่อไปได้ในอนาคต

นายพีรพันธ์ คอทอง อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร กล่าวว่า กรมส่งเสริมการเกษตร วางแนวทางการขับเคลื่อนภารกิจในปี 2567 โดยเน้นขับเคลื่อนงานส่งเสริมการเกษตรเชิงพื้นที่ สร้างสินค้าเกษตรมูลค่าสูง (High Value) ควบคู่ไปกับการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างคุ้มค่า ทำเกษตรที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (Low Carbon) และเพิ่มพื้นที่สีเขียวในภาคการเกษตรรวมทั้งปรับเปลี่ยนวิธีการทำงานสู่การใช้เทคโนโลยีดิจิทัล และขับเคลื่อน BCG Model รวมทั้งปรับเปลี่ยนวิธีการทำงานสู่การใช้เทคโนโลยีดิจิทัล (Digital DOAE) เพื่อให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืน สมดุล ทั้งในมิติเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม

...

อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร กล่าวต่อว่า ทางกรมฯ เป็นหน่วยงานหลักในการรับขึ้นทะเบียนเกษตรกร รับแจ้งข้อมูลเกษตรกรผู้ประสบภัยพิบัติ ร่วมเป็นคณะกรรมการประเมินความเสียหายในแปลงของเกษตรกรที่ประสบภัยพิบัติ และการดำเนินการด้านอื่นๆ เช่น วางแผนช่วยเหลือและพัฒนาการเกษตรและเกษตรกร ซึ่งเจ้าหน้าที่ส่งเสริมการเกษตรได้ดำเนินการตรวจสอบพื้นที่ที่ได้รับความเสียหายภายหลังเกิดภัยแล้ว พร้อมทั้งเชื่อมโยงข้อมูลให้กับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร และสมาคมประกันวินาศภัยไทย ไปใช้ประกอบการพิจารณาจ่ายค่าสินไหมทดแทน ให้กับเกษตรกรที่ทำประกันภัยไว้ ซึ่งต้องใช้เวลาในการดำเนินการพอสมควร

"ดังนั้นเพื่อให้การดำเนินการจ่ายค่าสินไหมทดแทนมีความรวดเร็วยิ่งขึ้น จึงได้ร่วมมือกับ บริษัท ไทยคม จำกัด (มหาชน) และ สมาคมประกันวินาศภัยไทย เพื่อนำความรู้ และความเชี่ยวชาญ สร้างความร่วมมือทางวิชาการร่วมกันบูรณาการและพัฒนาแนวทางการนำระบบวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาใช้ในการประกันภัยพืชผล ถือเป็นจุดเริ่มต้น และโอกาสที่ดีที่จะร่วมกัน ในการพัฒนาระบบประกันภัยพืชผลอย่างยั่งยืน มีความถูกต้องแม่นยำ โดยการนำเทคโนโลยีดาวเทียมสำรวจทรัพยากรโลก เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์มาวิเคราะห์ ร่วมกับข้อมูลขนาดใหญ่มาใช้เป็นการสร้างแรงจูงใจ ให้เกษตรกรหันมาใช้การประกันภัยเป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการบริหารจัดการความเสี่ยงในการทำการเกษตร และเป็นประโยชน์ต่อหน่วยงานภาครัฐและประชาชน และเป็นการยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกรไทยให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ด้วยความมั่นคง เพราะภาคเกษตรกรรมเป็นรากฐานที่สำคัญของระบบเศรษฐกิจของประเทศไทย" นายพีรพันธ์ กล่าว

...

ขณะที่ นายสมพร สืบถวิลกุล นายกสมาคมประกันวินาศภัยไทย กล่าวว่า สมาคมประกันวินาศภัยไทย เป็นองค์กรที่ให้ความร่วมมือกับภาครัฐในการนำระบบประกันภัยมาใช้เพื่อเป็นเครื่องมือในการบริหารความเสี่ยงให้กับภาครัฐและเกษตรกร โดยเฉพาะโครงการประกันภัยพืชผล ที่เป็นโครงการที่ธุรกิจประกันวินาศภัยมีเจตนารมณ์มุ่งมั่นในการทำหน้าที่เป็นกลไกสำคัญในการบริหารความเสี่ยง ให้กับภาคการเกษตรของไทย เพื่อบรรเทาความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นจากภัยพิบัติทางธรรมชาติ อีกทั้งยังช่วยให้เกษตรกรมีความมั่นคงในการประกอบอาชีพมากยิ่งขึ้น

...

นายกสมาคมประกันวินาศภัยไทย กล่าวต่อว่า สมาคมฯ ได้ทำหน้าที่เป็นผู้บริหารโครงการประกันภัยพืชผลให้กับภาครัฐในโครงการประกันภัยข้าวนาปี และโครงการประกันภัยข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ซึ่งได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง เป็นระยะเวลารวมกว่า 12 ปี โดยมีภาพรวมของผลการดำเนินงาน ในการรับประกันภัยครอบคลุมพื้นที่เพาะปลูกกว่า 210 ล้านไร่ และมีการจ่ายค่าสินไหมทดแทน เป็นจำนวนกว่า 15,066 ล้านบาท แบ่งเป็น โครงการประกันภัยข้าวนาปี ตั้งแต่ปี 2554-2565 มีพื้นที่รับประกันภัย จำนวน 203.7 ล้านไร่ มีการจ่ายค่าสินไหมทดแทน จำนวน 14,611 ล้านบาท และโครงการประกันภัยข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ตั้งแต่ปี 2552-2566 มีพื้นที่รับประกันภัย จำนวน 5.5 ล้านไร่ มีการจ่ายค่าสินไหมทดแทน จำนวน 455 ล้านบาท

นายสมพร กล่าวอีกว่า อีกทั้งที่ผ่านมา สมาคมฯ ได้มีการพัฒนาโครงการประกันภัยพืชผล โดยนำเทคโนโลยีมาใช้ในการขับเคลื่อนโครงการประกันภัยพืชผลอย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบโจทย์การดำเนินงานให้กับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องรวมถึงเกษตรกรผู้เอาประกันภัยให้ได้รับการดูแลอย่างถูกต้องและรวดเร็ว ได้แก่

1. พัฒนาเทคโนโลยีในการเชื่อมโยงระบบฐานข้อมูลการรับประกันภัย การขึ้นทะเบียนเกษตรกรและการรายงานความเสียหาย ระหว่างกรมส่งเสริมการเกษตร ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร กับสมาคมฯ เพื่อให้มีการพิจารณาจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้กับเกษตรกรได้อย่างถูกต้องและรวดเร็วยิ่งขึ้น

2. พัฒนาระบบการรายงานความเสียหายด้วยการใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในพื้นที่ที่ได้รับความเสียหายโดยมิได้อยู่ในพื้นที่ประกาศเป็นเขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน ผ่านแอปพลิเคชัน “มะลิซ้อน”

3. การนำเทคโนโลยีดาวเทียม ระบบการวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analytics) และระบบ AI & Machine Learning มาใช้ในการประกันภัยพืชผล โดยร่วมกับบริษัท ไทยคม จำกัด (มหาชน) ในการวิเคราะห์ข้อมูลและตรวจสอบความเสียหายเพื่อดำเนินการจ่ายค่าสินไหมทดแทนในโครงการประกันภัยพืชผลต่อไป

ส่วน นายปฐมภพ สุวรรณศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ไทยคม กล่าวว่า ไทยคมมีเจตนารมณ์สำคัญในการดำเนินธุรกิจให้เติบโตอย่างมั่นคง ควบคู่ไปกับการช่วยพัฒนาประเทศชาติให้เกิดความยั่งยืน ด้วยการพัฒนาโซลูชันที่ได้ข้อมูล Big Data จากอวกาศ มาวิเคราะห์ร่วมกับ Artificial Intelligence (AI) และ Machine Learning (ML) เพื่อนำไปใช้วางแผนในการบริหารจัดการให้กับประเทศในหลายมิติ โดยเฉพาะภาคการเกษตรไทย ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมสำคัญของประเทศ ดังนั้น การผนึกกำลังกับกรมส่งเสริมการเกษตรและสมาคมประกันวินาศภัยไทย จึงเป็นการตอกย้ำพันธกิจของไทยคม ที่ได้นำความเชี่ยวชาญในธุรกิจดาวเทียมและ Space Tech มาต่อยอดให้เกิดเป็นแพลตฟอร์มในการประกันภัยพืชผล เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบให้ได้รับประโยชน์สูงสุดจากโครงการนี้

ซีอีโอ ไทยคม กล่าวด้วยว่า ไทยคมต้องขอขอบคุณทั้ง 2 หน่วยงานที่มอบความไว้วางใจและความเชื่อมั่นในผลิตภัณฑ์และบริการที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีอวกาศ ที่เข้ามาช่วยให้การดำเนินโครงการดังกล่าวประสบความสำเร็จ และหวังเป็นอย่างยิ่งว่า การร่วมมือกันในครั้งนี้ จะเป็นจุดเริ่มต้นในการขยายโอกาสในการช่วยเหลือเกษตรกรในด้านอื่นๆ เช่น การประกันภัยข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ การตรวจสอบพื้นที่เผาไหม้ การดูความอุดมสมบูรณ์ในพื้นที่เพาะปลูก และการพยากรณ์ภัยพิบัติได้อย่างแม่นยำ.