รู้จัก "ข้าวสายน้ำแร่แจ้ซ้อน" ผลิตภัณฑ์จากกลุ่มวิสาหกิจชุมชนเกษตรปลอดภัยไร้เคมีแจ้ซ้อน ที่มุ่งนำเอาธรรมชาติมาใช้ให้เกิดประโยชน์ โดยยังรักษาวิถีชีวิตชาวนา ลดต้นทุนการผลิตด้วยการทำน้ำหมักชีวภาพและสารชีวภัณฑ์ ทดแทนสารเคมี ปลอดภัยต่อผู้ปลูกและผู้บริโภค

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ อ.เมืองปาน จ.ลำปาง มีอุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อน เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญเป็นอันดับ 1 ของลำปาง โดยชาวบ้านตำบลแจ้ซ้อน ส่วนมากประกอบอาชีพเป็นเกษตรกร ไม่มีรายได้จากการท่องเที่ยว ด้วยเหตุนี้ นายจรัญ สิทธิจู ประธานกลุ่มวิสาหกิจชุมชนเกษตรปลอดภัยไร้เคมีแจ้ซ้อน ตำบลแจ้ซ้อน และประธานกลุ่มข้าวหอมสายน้ำแร่แจ้ซ้อน เกิดแนวคิด “น่าจะเอาธรรมชาติที่มีอยู่ มาทำให้เกิดประโยชน์ต่อชุมชนที่มีวิถีเป็นชาวนา เพราะนาที่นี่มีน้ำมอญที่มาจากสายน้ำแร่แจ้ซ้อนผ่านทุ่งนา จึงเป็นที่มาของข้าวสายน้ำแร่แจ้ซ้อน

...

จุดเริ่มต้นการเพาะปลูกทำนาของเกษตรกรในพื้นที่ มีปัญหาและอุปสรรคลำดับต้นๆ คือ ต้นทุนการผลิต โดยเฉพาะค่าแรงงาน และค่าจ้างเครื่องจักรกล ในจุดนี้ทางวิสาหกิจชุมชนฯ ได้เข้าไปช่วยแก้ไขปัญหา ด้วยการลดต้นทุนการผลิตด้วยการผลิตน้ำหมักและสารชีวภัณฑ์ เพื่อทดแทนการใช้สารเคมีปราบศัตรูพืชและปุ๋ยเคมี ส่วนปัญหาด้านค่าแรงงานและค่าจ้างเครื่องจักรกล แก้ไขด้วยการลงแขกร่วมใจของชาวบ้าน ในช่วงการปลูกและการเก็บเกี่ยว เป็นการอนุรักษ์ประเพณีดั้งเดิมตั้งแต่บรรพบุรุษ และได้นำปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ เพื่อปรับสมดุลชีวิตให้พอดี เกิดความสุข และผ่อนคลาย

เมื่อมีการปลูกข้าวแล้ว ก็ต้องมีเรื่องการทำตลาดเพื่อจำหน่ายข้าว โดยการสนับสนุนจากคณะเทคโนโลยีการเกษตร มหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง ในด้านวิชาการ การบริหารจัดการ และการตลาด ร่วมกับความมุ่งมั่นตั้งใจของกลุ่มวิสาหกิจชุมชน ต่อมาในปี 2562 มีการจัดทำลงนามบันทึกข้อตกลง (MOU) ร่วมกับสหกรณ์การเกษตรห้างฉัตร รับซื้อข้าวสายน้ำแร่แจ้ซ้อน เป็นข้าวอินทรีย์มาตรฐานการผลิตข้าวอินทรีย์ ของกรมการข้าว โดยข้าวเปลือกอินทรีย์ขายในราคากิโลกรัมละ 20 บาท และข้าวเปลือกระยะปรับเปลี่ยนขายในราคากิโลกรัมละ 18 บาท ซึ่งหากนำมาเปรียบเทียบกับราคาขายข้าวเปลือกทั่วไป ที่ขายกิโลกรัมละ 8-8.70 บาท ถือว่ามีราคาสูง ทำให้เกษตรกรมีความพอใจและมีรายได้ที่มากขึ้น

...

นอกจากนี้ ทางชุมชนยังมีการอบรมเทรนเนอร์ของเกษตรกร โดยการอบรมในครั้งนี้มีประโยชน์ต่อการนำมาปรับใช้อย่างมาก ทั้งความรู้เกี่ยวกับสารชีวภัณฑ์ต่างๆ เป็นการได้ทบทวนความรู้ให้มั่นใจมากขึ้น นอกจากนี้ยังได้รับความรู้ที่หลากหลาย มีการแลกเปลี่ยน เกิดการสร้างเครือข่ายที่ดีของกลุ่มเกษตรกรจังหวัดลำปาง การได้ร่วมกิจกรรมครั้งนี้ ได้รับรู้ถึงอุดมการณ์ ความคิด ความตั้งใจ เทคนิควิธีการต่างๆ จากท่านวิทยาการชื่อดัง อาทิ ท่าน ว.วชิรเมธี และกลุ่มชุมชนปางมะค่า ที่เป็นที่รู้จักหลากหลาย ในสื่อต่างๆ จึงทำให้เกิดการจุดประกาย สร้างแรงผลักดัน ที่จะนำแนวคิด อุดมการณ์ต่างๆ มาปรับใช้ในกลุ่มวิสาหกิจชุมชน

...

สำหรับความรู้ที่ได้รับส่วนมาก เป็นเทคนิคการเกษตร อาทิ วิธีการการดูแลต้นไม้ ช่องทางการสร้างเครือข่ายการตลาด ให้เข้ากับบริบทชุมชน โดยมีการนำความรู้เรื่อง โคก หนอง นา และความรู้ใหม่ๆ มาปรับใช้ในแปลง มีการปลูกผักอินทรีย์ เช่น พวกเถาวัลย์ บวบหวาน โดยเฉพาะพริกจากจังหวัดสุรินทร์ ซึ่งปัจจุบันได้ตกลงสัญญาซื้อขายในราคาประกันกิโลกรัมละ 30 บาท โดยรวมแล้วเกษตรกรในพื้นที่รู้สึกประทับใจในโครงการนี้เป็นอย่างยิ่ง เพราะเป็นโครงการที่ดี และมีการศึกษาดูงานในพื้นที่ที่น่าสนใจมาก เกิดประโยชน์และเกิดแนวโน้มที่จะนำแนวทางการเพาะปลูกขยายผลได้สูง.