ป.ป.ช.สงขลา เชิญกลุ่มชาวประมง ต.หัวเขา อ.สิงหนคร ประชุมปัญหาการบังคับใช้กฎหมาย กรณี โพงพางในทะเลสาบสงขลา โดย ผอ.เผยผลการหารือ ชี้ ชาวบ้านเปิดใจยอมรับว่าผิดกฎหมายจริง แต่ภาครัฐควรเจรจาแก้ไขแบบสันติวิธี พร้อมหาแนวทางเยียวยาเพื่อหาอาชีพใหม่

เมื่อวันที่ 7 ส.ค. 2567 ที่ผ่านมา ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำนักงาน ป.ป.ช.ประจำจังหวัดสงขลา เชิญกลุ่มชาวประมง ต.หัวเขา อ.สิงหนคร ร่วมการประชุมปัญหาการบังคับใช้กฎหมายกรณีการใช้เครื่องมือโพงพางทำการประมงดักจับสัตว์น้ำที่กีดขวางทางสัญจรในการเดินเรือทะเลสาบสงขลา ณ โรงแรมลีการเด้นท์ พลาซ่า อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา โดยมี นายราม วสุธนภิญโญ ผู้อำนวยการสำนักงาน ประจำจังหวัดสงขลา เป็นประธานและได้ร่วมหารือพูดคุยร่วมกับกลุ่มชาวประมงต่อข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น รวมถึงแลกเปลี่ยนมุมมองต่อประเด็นปัญหาดังกล่าว 

ปัจจุบันหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ทั้งในส่วนของการจับกุม และการบังคับใช้กฎหมายเพื่อรื้อถอนโพงพางในระยะร่องน้ำ ความยาว 5 กิโลเมตร ตามประกาศของสำนักงานเจ้าท่าจังหวัดสงขลา จนนำมาสู่ข้อขัดแย้งระหว่างรัฐและประชาชนในเวลาต่อมา ถึงแม้ว่าในปี 2558 จะได้มีการรื้อถอนโพงพางไปบางส่วน และมีการช่วยเหลือเยียวยาไปแล้วนั้น แต่ปัจจุบันยังคงปรากฏการทำประมงด้วยเครื่องมือโพงพางอยู่ นำไปสู่การตั้งคำถามว่า การบังคับใช้กฎหมาย รวมถึงการแก้ไขปัญหาร่วมกับกลุ่มประมงอย่างยั่งยืน อาจไม่ปรากฏชัดเป็นรูปธรรม  

...

ข้อเท็จจริงจากกลุ่มประมงตำบลหัวเขา ระบุว่า การแก้ไขปัญหาดังกล่าว นอกเหนือจากการบังคับใช้กฎหมายจากภาครัฐแล้วนั้น การรับฟังปัญหาที่แท้จริงจากกลุ่มชาวประมงยังไม่เกิดขึ้น เพราะการประกอบอาชีพโพงพางนั่นคือวิถีวิตของกลุ่มชุมชนบริเวณหัวเขา หากในครั้งนี้มีการรื้อถอนก็จำเป็นที่จะต้องมีพูดคุยถึงการเยียวยาอย่างยั่งยืน ซึ่งไม่ได้หมายรวมถึงการมอบเงินเยียวยา และที่ดินทำกินเพียงเท่านั้น กล่าวคือหากมีหน่วยงานภาครัฐที่สามารถหนุนเสริม ทั้งการมอบองค์ความรู้ สร้างอาชีพใหม่ และการพัฒนาอาชีพ เพื่อให้กลุ่มชาวประมงสามารถเปลี่ยนแปลงการทำกินได้อย่างแท้จริง ไม่ได้เป็นเพียงการแก้ไขปัญหามิติเดียวเหมือนในอดีต 

อีกทั้งหากมีการแก้ไขกฎหมาย หรือกำหนดแนวเขตพื้นที่ประมงพิเศษ ตามที่เคยได้ยื่นข้อเสนอต่อจังหวัดไปแล้วนั้น หน่วยงานภาครัฐก็จะต้องการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง เพราะระยะเวลาที่ผ่านมามีการรื้อถอนออกและไม่ได้มีการจับกุมใดๆ จนกระทั่งปี 2567 ที่กลับมามีการประกาศการรื้อถอนอีกครั้ง จึงหวังเพียงว่าการแก้ไขปัญหาดังกล่าวไม่ควรใช้วิธี "หักด้ามพร้าด้วยหัวเข่า" อย่างที่ผ่านมา 

สำนักงาน ป.ป.ช.ประจำจังหวัดสงขลา ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของปัญหาดังกล่าว โดยจะรวบรวมนำข้อเสนอแนะจากการพูดคุยทั้งสามฝ่าย ประกอบด้วย กลุ่มประมงหัวเขา หน่วยงานราชการ และกลุ่มอนุรักษ์ เพื่อนำไปสู่การแก้ไขปัญหาอย่างเป็นรูปธรรมและยั่งยืนต่อไป

ด้าน นายราม วสุธนภิญโญ ผู้อำนวยการสำนักงาน ป.ป.ช.ระจำจังหวัดสงขลา เปิดเผยว่า ที่จริงในส่วนของกระบวนการเราต้องพูกถึงในเชิงสภาพปัจจุบันก่อนว่า ในเมื่อ โพงพางถูกกำหนดว่าเป็นเครื่องมือประมงผิดกฎหมาย ดังนั้นหน่วยงานของรัฐที่มีหน้าที่โดยตรงในการดูแลไม่ว่ากรมประมง หน่วยงานกรมเจ้าท่า ที่โพงพางเป็นสิ่งที่กีดขวางลำน้ำ เขาก็ต้องทำตามกฎหมายปัจจุบันที่มีอยู่ ถ้าไม่ทำก็เทียบเท่าการละเว้นปฏิบัติหน้าที่ แต่หลังจากที่ทำแล้วต้องมีกระบวนการต่อไป คือ การเยียวยาอย่างไรให้กับชาวบ้านที่เขามีวิถีชีวิตแบบนี้ ในการประกอบอาชีพในอนาคต เพราะว่าชาวบ้านเองต้องดำรงชีวิตไป เพราะว่าโพงพางเป็นบริบทหนึ่งที่ชาวบ้านต้องใช้เลี้ยงปากเลี้ยงท้อง ถ้าหากชาวบ้านไม่มีโพงพางแล้วในอนาคตชาวบ้านจะประกอบอาชีพอะไรในการเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง 

...

ผู้อำนวยการ ป.ป.ช.สงขลา กล่าวต่อว่า หลังจากที่ฟังเสียงชาวบ้านตนเข้าใจว่าพวกเขาเข้าใจและทราบปัญหา ชาวบ้านยินดีพร้อมที่จะถอยไปตามแนวร่องน้ำที่มีเครื่องมือโพงพาง แต่ชาวบ้านก็มีคำถามต่อว่า รัฐจะดูแลกระบวนการเยียวยาชาวบ้านต่อไปอย่างไร เพราะว่าชาวบ้านมองว่าวิถีชีวิตความเป็นอยู่ตั้งแต่ดั้งเดิม ย้อนกลับไปตั้งแต่อดีตว่าโพงพางครั้งนึงไม่ได้ผิดกฎหมาย แต่ปัจจุบันผิดกฎหมาย เพราะว่าโพงพางเป็นส่วนหนึ่งที่เขาใช้ประกอบอาชีพ เมื่อเทียบกับกลุ่มอื่นๆ เขามีพื้นที่ใช้ประกอบอาชีพ แต่ชาวบ้านโซนในกลุ่มนี้ไม่มีพื้นที่ทำกินในการประกอบอาชีพจริงๆ จึงเป็นส่วนหนึ่งเหตุผลที่ชาวบ้านพยายามยื้อไม่ให้มีการรื้อโพงพาง ถ้าหากไม่มีโพงพางชาวบ้านก็รับได้ แต่รัฐควรจะมีอะไรหรือมีกระบวนการแก้ไขปัญหาที่ชาวบ้านจับต้องได้เป็นรูปธรรม

"ปัญหาของชาวบ้านนั้น โพงพางมันเป็นสิ่งจำเป็นที่ประกอบอาชีพ ชาวบ้านรายหนึ่งบอกว่า ถึงแม้ตนจะโดนจับ ตนก็ยังจะกลับมาประกอบอาชีพโพงพางเหมือนเดิม โดยตรงนี้มันเป็นวิถีของชาวบ้านจริงๆ ดังนั้นควรหาทางออกมากกว่าการบังคับใช้กระบวนการตามกฎหมายอย่างเดียว เพราะว่ากระบวนการแก้ไขปัญหาตามกฎหมายเป็นการแก้ปัญหากระบรวนการนึง ถ้าหากรัฐมีกรอบหรือแนวทางการแก้ปัญหาที่ดีชาวบ้านก็รับได้นะ เช่น ชาวบ้านได้พูดถึงที่ดินทำกิน สมมติว่า 'ที่ดินสวนปาล์มที่รัฐมีให้ชาวบ้านไปสัมปทานได้ไหม ให้ชาวบ้านไปดูแลต่อและก็แบ่งกันระหว่างรัฐกับชาวบ้าน เขารับในส่วนอื่นด้วย ซึ่งตรงนี้มันอาจจะหลากหลาย บางส่วนอาจจะรับเป็นตัวเงินเพราะว่าตัวเงินบางคนที่บริหารจัดการเงินไม่เป็นมันอาจจะหมดได้อย่างรวดเร็ว แต่ถ้ามีอย่างอื่นที่มันมากกว่านั้น อย่างเช่นที่ดินมันอาจจะอยู่ได้อย่างยั่งยืนมากกว่า" นายราม กล่าว

...

ผู้อำนวยการ ป.ป.ช.สงขลา กล่าวอีกว่า โพงพาง เป็นส่วนหนึ่งที่สามารถทำให้เกิดรายได้ค่อนข้างที่จับต้องได้ จำนวนที่มันเห็นค่อนข้างที่จะเยอะ ดังนั้นถ้ารัฐคิดจะแก้ปัญหาควรพูดคุยในเชิงลึกรัฐต้องมองหา โมเดลที่เป็นไปได้และ มันเป็นไปได้แต่ละกลุ่มแต่ละประเภทของชาวบ้านซึ่งดูแล้วชาวบ้านค่อนข้างหลากหลายอยู่ เลยเป็นเรื่องที่ค่อนข้างละเอียดอ่อน ไม่สามารถแก้ไขปัญหาภายในระยะเวลาอันสั้นยกตัวอย่างเช่นโมเดลทางภาคเหนือของกระบวนการแก้ไขปัญหายาเสพติดที่ในหลวง ร.9 ท่านทรงแก้ไขปัญหา ซึ่งมันเป็นปัญหาที่ตนมองว่ามันเป็นการแก้ไขปัญหาที่ยาก แต่ท่านทรงแก้ไขปัญหาได้ อันนี้ก็เช่นเดียวกัน ชาวบ้านก็มองว่ารัฐให้ความสำคัญกับเขาจริงๆ มันก็สามารถแก้ไขปัญหาได้

นายราม กล่าวด้วยว่า ส่วนตัวมองว่าตอนนี้ชาวบ้านเปิดใจรับฟัง ไม่ใช่ว่าไม่ยอมรับฟังอะไรเลย ชาวบ้านยอมรับ ฉะนั้นตนเชื่อว่าทุกฝ่ายหน่วยงานภาครัฐ เข้มแข็ง ตั้งใจ ในเรื่องทำตามข้อกฎหมายที่กำหนด ชาวบ้านเองยินดีที่จะทำตามกฎหมาย อันไหนที่ผิดก็ถอยออกไป และเรื่องกระบวนการของรัฐที่จะมาดูแลในเรื่องของการเยียวยาชาวบ้าน ก็จะสามารถแก้ไขปัญหาโพงพางแบบยั่งยืน ไม่ต้องมีผลกระทบของการรื้อถอน แล้วชาวบ้านต้องออกมาประท้วงต่างๆ ซึ่งมันจะมีผลกระทบต่อพื้นที่จังหวัดสงขลา. 

...