ในนาทีนี้คงมีคดีเดียวที่ผู้คนให้ความสนใจ เพราะเป็นคดีอุกอาจ บั่นทอนสถาบันผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ นั่นคือ คดีถุงคลุมหัวรีดทรัพย์ผู้ต้องหาคดียาเสพติดจนตาย ซึ่งล่าสุด ศาลได้ออกหมายจับ 7 ตำรวจที่เกี่ยวข้องแล้ว โดยเฉพาะ พ.ต.อ.ธิติสรรค์ อุทธนผล ผกก.สภ.เมืองนครสวรรค์ หรือ “ผู้กำกับโจ้”

โดยมีหลายข้อหา ได้แก่ เป็นเจ้าพนักงานร่วมกันปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด, ร่วมกันตั้งแต่ห้าคนขึ้นไปข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใดไม่กระทำการใดหรือจำยอมต่อสิ่งใด, ร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยทรมานหรือโดยกระทำทารุณโหดร้าย

“กระบวนการยุติธรรม จะไม่เที่ยงตรง...ก็เกิดมาจากความล่าช้า จึงทำให้สังคมเกิดความสงสัย เป็นเหตุทำให้ประชาชนไม่ไว้วางใจการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ”

ผู้การวิสุทธิ์ วานิชบุตร อดีตนายตำรวจมือฉมัง กูรูวงการสีกากี เกริ่นเบื้องต้นกับทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ ก่อนค่อยๆ วิเคราะห์ให้ความเห็นทีละประเด็น

...

รีดไถ ซ้อมผู้ต้องหา เกิดขึ้นเกือบทุกหน่วยงาน ที่มีอำนาจจับกุม โดยเฉพาะคดีค้ายาเสพติดที่มีโทษสูง ผู้ต้องหาไม่กล้าแฉ หรือโวยวาย

ผู้การวิสุทธิ์ เกริ่นว่า การรีดไถของข้าราชการทุกหน่วยงาน จะมาจากการมีอำนาจหน้าที่จับกุม ไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานใดก็ตาม หาก “มีอำนาจหน้าที่” และ “สบโอกาส” ก็อาจจะลงมือกระทำความผิด ยิ่งเป็นคดียาเสพติด ยิ่งทำง่าย..

คดียาเสพติด ส่วนตัวเชื่อว่า หากมีองค์ประกอบครบ ทั้งโอกาส จังหวะ เวลา สถานที่ เหมาะสม ร้อยละ 80% ก็อาจจะลงมือรีดไถ...ขอย้ำว่าไม่ใช่คดียาเสพติดทั้งหมด แต่เป็นคดีที่โอกาสและจังหวะ ยกตัวอย่างไปตามจับในห้าง กลางชุมชน จะกล้าทำไหม?

สมมติว่าเป็นการตั้งด่านข้างทาง ไม่ว่าจะเป็นจังหวัดไหน มืดๆ ไม่มีใครเห็น มีแต่ลูกน้องตัวเอง พอจับได้เจอยาเสพติด 1,000 เม็ด ทรัพย์สินในตัว เงินสด นาฬิกา เกลี้ยงครับ แต่หากเจอของกลางเยอะกว่านั้น นักค้ายาบางคนชอบแต่งตัวเว่อร์ๆ ทองเยอะๆ นาฬิกาแพงๆ ถ้าเป็นลักษณะอย่างนี้ก็จะกักตัวไว้ แล้วให้ไปกดเงินในบัญชีให้หมด

ผู้การวิสุทธิ์ ตั้งข้อสังเกตว่า ถ้าไอ้แก๊งผู้กำกับโจ้...มันรับเงินแค่ล้านเดียวที่ว่า คดีนี้ไม่เกิด ไม่มีคนตาย และทุกอย่างก็จะเงียบหายไป เผลอๆ ได้เป็นพรรคพวกด้วย...วันดีคืนดีอาจจะให้ขนยาไปขายด้วย ที่สำคัญเลยคือแก๊งยาเสพติดเหล่านี้ไม่กล้าโวยวาย

ผู้การวิสุทธิ์ วานิชบุตร
ผู้การวิสุทธิ์ วานิชบุตร

ผู้การวิสุทธิ์ ยังยกตัวอย่างเหตุการณ์สมมติ ว่า...

เฮ้ย (เสียงดัง!)...เวลานี้ยาเม็ดเท่าไรวะ
สมมติว่า 80 “เอาไปเลยให้ในราคา 50 บาท”
“...อย่าเปลี่ยนเบอร์นะ ถ้า...เปลี่ยนกูจะตามจับมึง”
พวกตำรวจเลว ที่หากินกับแก๊งยาเสพติดมันเป็นแบบนี้...นี่อธิบายในเชิงภาพรวม ไม่ใช่ทุกคนจะเป็นแบบนี้

รีดทรัพย์ คลุมหัว วิธีโหด 100 ปีก็ยังอยู่ วิชาโจรไม่จำเป็นต้องสอน

ทำไมข้าราชการนอกแถว ไม่กลัวการทำผิดกฎหมาย ทีมข่าวเฉพาะกิจฯ ถาม ผู้การฯ วิสุทธิ์ ตอบว่า มนุษย์กลัวความผิด กลัวการถูกลงโทษทุกคน แต่เมื่อกลัวแล้วทำไมถึงทำ คำตอบก็คือมันไม่คิดว่าเรื่องนี้จะแดง...

คดีแบบนี้ ถ้าผมทำเองใช้เวลา 7 วันสั่งฟ้องได้เลย แค่ดูว่า “ห้องที่เกิดเหตุ” เป็นห้องอะไร พระ เสื้อ หิ้งพระอยู่ตรงไหน แค่ดูจากตำแหน่งที่ตั้งของต่างๆ ก็พิสูจน์ทราบแล้วว่ามันคือห้องผู้กำกับ

ถามว่า เมื่อจับผู้ต้องหาคดียาเสพติดได้พร้อมเมีย แล้วทำไมถึงปล่อยเมีย ก็เพราะว่า หลังเกิดเหตุการณ์ตายแล้ว ก็มีการเรียกสอบพ่อ สอบแม่ สอบเมีย จนมีการให้การแปลกๆ “ว่าเขาเป็นคนดี” นี่ดูบ้านทรายทองมากเกินไปหรือเปล่า...

ส่วนการชันสูตรเชื่อว่า ในทางนิติวิทยาศาสตร์มันสามารถพิสูจน์ได้ ซึ่งการขาดอากาศหายใจชันสูตรปอดก็รู้เรื่องแล้ว ซึ่งเราไม่รู้ว่าทำไมผลการชันสูตรถึงออกมาเป็นแบบนี้ (สันนิษฐานว่าพิษจากสารแอมเฟตามีน)

...

รีดทรัพย์ คลุมหัว วิธีโหด 100 ปีก็ยังอยู่ อาจจะมีอยู่ทั่วประเทศ!

ทำไมยังใช้วิธีการโหดเหี้ยม โบราณเหล่านี้ในการสอบสวนผู้ต้องหา ผู้การวิสุทธิ์ บอกว่า วิธีการดีดไข่ เผาไข่ ซ้อม เหล่านี้...คือพวกควายเป็นคนทำ การทำแบบนั้นมันมีร่องรอยฟกช้ำ ซ้อมจนกระดูกหัก เส้นเอ็นขาด

แต่การใช้ถุงคลุม เพราะไม่มีร่องรอย ขาดอากาศหายใจ ก็เข้าล็อกเลย ยิ่งเป็นคดียาเสพติดคนจะไม่ค่อยสนใจ

เมื่อถามว่าทำไมยังใช้วิธีการอย่างนี้อยู่ “อีกร้อยปีก็ยังใช้!”

พวกนี้มันเป็นการเลียนแบบมาจากหนังต่างประเทศ ซึ่งวิธีการก็รู้ๆ กัน คือ 1. เอาถุงครอบ 2. จับนอนหงาย เอาผ้าขนหนูชุบน้ำและน้ำกรอกปาก แบบนี้จะไม่มีร่องรอย ไม่สามารถโวยวายได้

“ที่สำคัญคือ ของที่ใช้มันหาง่าย ถามว่าที่ไหน โรงพักไหน ไม่มีถุงดำบ้าง การทำแบบนี้ทำให้ผู้ต้องหาสารภาพโดยง่าย”

เมื่อถามว่า วิธีการแบบนี้ยังทำกันอยู่ทั่วไปหรือไม่ ผู้การวิสุทธิ์ ตอบชัดว่ามีทั่วประเทศ โดยเฉพาะข้าราชการตำรวจ หรือหน่วยงานไหนก็ตาม ถ้ามีอำนาจจับกุมให้คุณให้โทษกับประชาชนได้ จะทำก็ต่อเมื่อมีโอกาส...

...

“การกระทำลักษณะนี้ เชื่อว่า ถูกเปิดเผยต่อสาธารณชนเพียง 3% ทำร้อยครั้ง เรื่องแดงแค่ 3 ครั้ง ที่เหลือรอดหมด เพราะคดีค้ายาเสพติด ผู้ต้องหาไม่กล้าปากโป้ง”

การทารุณแบบนี้มีสอนกันหรือไม่ หรือไปเรียนกันมาเอง อดีตตำรวจมือเก๋า ตอบอย่างดุดันว่า มันอยู่ที่สันดาน....เรื่องเลวๆ มันเรียนรู้กันง่าย แค่พูดต่อๆ กันก็รู้ สมมติว่าทีมทรมาน รีดไถนี้มีอยู่ 10 คน เด็กใหม่ 5 คน ทำเสร็จ เด็กใหม่ก็ได้ส่วนแบ่งด้วย เห็นแบบนี้ครั้งเดียวก็เป็นแล้ว

“คดีนี้ เกิดจากความโลภตัวเดียว ถ้าเอาเงินล้านเดียวก็จบแล้ว ก็ไม่มีคลิป ไม่จำเป็นต้องลงมือคลุมถุง ผู้ต้องหาไม่ตาย ทุกอย่างก็จบ”

ตำรวจที่ทำผิดซะเอง ส่วนใหญ่จะมีโอกาสได้กลับมาเป็นตำรวจอีกหรือไม่ ผู้การวิสุทธิ์ ตอบในฐานะที่เคยทำงานด้านกองวินัยว่า โอกาสกลับมาเป็นมากหรือน้อยขึ้นอยู่ 3 อย่าง

1. คนคนนั้น เส้นใหญ่ไหม...
2. มีเงินเยอะไหม
3. หลักฐานและพฤติการณ์แห่งคดีชัดเจนไหม

ถ้าหลักฐานชัดเจนขนาดนี้ ยังไงก็ช่วยไม่ได้ แต่ถ้าเป็นคดีที่ไม่มีการตาย หากพิพากษายก ก็จะเอาคำพิพากษามายื่นกับคณะกรรมการสอบวินัย ก็มีโอกาสกลับมาได้อีก เพราะเขาไม่มีความผิด มีเงินมีเส้น ก็กลับมารับราชการใหม่ได้

...

“กรณีผู้กำกับโจ้ เชื่อว่ามันชัดแจ้ง มีคนตาย กลับกันหากพฤติการณ์แห่งคดีไม่ชัดเจน โอกาส 80% กลับเข้ามาได้ ยกเว้นคดียาเสพติด”

ทำบ่อย... ผู้ใหญ่คุ้มหัว?

คนที่เห็นคลิปนี้ต่างตั้งข้อสังเกต โดยเฉพาะในโลกออนไลน์ คาดว่าอาจจะทำแบบนี้บ่อย? ผู้การวิสุทธิ์เองก็รู้สึกเช่นนั้น แต่ถามว่าเชี่ยวชาญไหม บอกเลยว่า ไม่ เพราะถ้าเชี่ยวชาญจะไม่ตาย และไม่ทำในห้องแบบนี้

“การทำแบบนี้ถือว่าไม่ฉลาด แต่...ถามจริงๆ คนเราจะทำชั่วแบบนี้จะกล้าทำสถานที่ราชการหรือ... วันนี้ จเรตำรวจแห่งชาติ เข้าตรวจสอบที่เกิดเหตุ ส่ายหน้าเลย โอ้โห...แย่”

ผู้การวิสุทธิ์ ตั้งข้อสังเกตว่า อาจจะทำบ่อยก็เป็นได้ เพราะอาจจะมั่นใจในลูกพี่ว่าจะปกป้องได้ จึงชะล่าใจรวมหัวกันทำผิดกฎหมาย

ความเป็นจริง ชุดสืบสวนยาเสพติดจะมีเซฟเฮาส์ หรือบ้านเช่าอยู่แล้ว เพื่อเอาไว้ใช้วางแผนสำหรับการปฏิบัติหน้าที่ แต่ถ้าเป็นตำรวจบางคนก็อาจจะเอาไว้รีดทรัพย์ บางทีตีคดีเดียวมีเงินเช่าบ้านได้ 10 ปี

การมีเซฟเฮาส์ ถามว่ามีประโยชน์ยังไง ก็คือไว้เพื่อกักตัว เช่น จับได้ 2 คน ผัวเมีย อาจจะกักผัวไว้ และให้คนประกบเมียไปที่บ้าน เอาสมุดบัญชี กดเงินเกลี้ยงบัญชี

“ถ้าเป็นผมทำคดี ดูคลิปจบแล้ว จะเสนอศาลออกหมายจับทันที เรื่องทางวินัยรอก่อนได้ อีก 2 สัปดาห์หรือเดือนก็ได้ ทำไมต้องคิดเยอะ ย้ายไปที่ภาค 6 ก่อน หรือจะย้ายไปส่วนกลาง เรื่องนี้ทำทีหลังได้ สิ่งที่ต้องทำสิ่งแรกไม่จำเป็นต้องจับข้อหา “ฆ่าคนตาย” ก็ได้ เพราะแพทย์ระบุสาเหตุการตาย ไม่ได้ระบุว่าตายจากถุงครอบหัว”

เราสามารถจับข้อหาอื่นก็ได้ เช่น เจ้าพนักงานฯ กระทำการโดยมิชอบ (รีดไถ) ม.157 ตบหัว ทำร้ายร่างกาย แค่ข้อหานี้ก็จับได้แล้วเรื่องแบบนี้จะไปรอทำไม รอให้มันหนีหรือ...ผู้การวิสุทธิ์ตั้งคำถาม พร้อมตั้งข้อสังเกตอีกว่า

เมื่อวานดูการให้สัมภาษณ์ของตำรวจระดับสูง ในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ฟังแล้วเหมือนพูดไม่ค่อยเต็มปาก เหมือนกั๊กๆ ความจริงคือมันต้องออกหมายจับก่อน ดำเนินคดีอาญาก่อน วินัยสอบทีหลัง

“ถ้ายังตั้งข้อหาฆ่าคนตายโดยเจตนาไม่ได้ก็เอาข้อหาอื่นก่อนได้ จะรอผลชันสูตรอีกทีก็ได้”

สำหรับการจับกุมคนร้าย สามารถจับได้ 2 กรณี คือ
1. ความผิดซึ่งหน้า
2. จับตามหมายศาล แต่เหตุการณ์นี้ไม่ได้เข้าข่ายความผิดซึ่งหน้า

"สาเหตุที่เป็นเช่นนี้ เพราะผู้นำองค์กรไม่เด็ดขาด กั๊กๆ กล้าๆ มัวแต่รอรายงานจากลูกน้อง" ผู้การวิสุทธิ์ ระบุ 

ส่วนขั้นตอนการสอบสวนที่ถูกต้อง

1. พนักงานสอบสวนต้องมีอำนาจและจิตสำนึกในความเป็นข้าราชการที่ดี
2. ต้องทำงานอย่างเร่งด่วน เพราะทำงานล่าช้าอาจจะทำให้พยานและวัตถุพยานหาย
3. ต้องรวบรวมพยานหลักฐานต่างๆ ให้ได้มากที่สุด และชี้ชัดว่าผู้กระทำความผิด ได้ทำผิดจริง

“กระบวนการยุติธรรม จะพังพินาศ จะไม่เที่ยงตรง ก็เนื่องมาจากความล่าช้า ยิ่งใครมาเห็นคลิปนี้....มัวแต่รอรายงาน แบบนี้ไม่กี่ชั่วโมงต้องออกหมายจับแล้ว ความล่าช้าเป็นสาเหตุอย่างหนึ่งทำให้กระบวนการยุติธรรมไม่เที่ยงตรง และเป็นข้อสงสัย ทำให้สังคมไม่ไว้วางใจ”

ช่วงท้าย ผู้การฯ วิสุทธิ์ เตือนข้าราชการทั่วไป ที่คิดจะทำผิด หรือที่คิดจะไปตบทรัพย์ประชาชนว่า ขอให้เชื่อไว้ว่ากฎแห่งกรรมมีจริง วันหนึ่งเมื่อบุญหมด กรรมตามทัน ที่สุดแล้วก็ต้องโดน เพราะฉะนั้น เส้นใหญ่แค่ไหน อาจจะหนีกฎหมาย โทษทางวินัย แต่หนีกฎแห่งกรรมไม่ได้

ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ รายงาน 

อ่านสกู๊ปที่น่าสนใจ