มองดูรอบด้านด้วยใจเป็น “ธรรม”...ด้วยใจเป็น “กลาง” และจะพบ “คำตอบ” เอง
ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา หรือ “หมอดื้อ” แผนกประสาทวิทยา คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สภากาชาดไทย ให้ข้อมูลว่า
“พาราควอต”...รับทราบอันตรายร้ายแรงจิบเดียวตายตั้งแต่ปี ค.ศ.1980 และตั้งแต่ปี 1985 มีการจับตามองเรื่องความเชื่อมโยงในการทำให้เกิดสมองอักเสบและเกิดโรคสมองเสื่อมพาร์กินสัน โรคมะเร็งยาวนานมาก
จนกระทั่งถึงปี 2000 แม้กระทั่งถึงปี 2012 มีตำราเรียนของแพทย์บอกความเชื่อมโยงของสารเคมีพิษกับสมอง จนกระทั่งถึงปี 2019 สารเคมีพิษเหล่านี้ก็ยังมีการใช้ในประเทศไทย...แม้จะถูกแบนในมากกว่า 50 ประเทศ รวมทั้งเวียดนาม ลาว เขมร...ประเทศที่ยังมีการใช้อยู่เป็นประเทศเล็ก ประเทศน้อย เกาะเล็กๆ
และ...แม้แต่มีการพิสูจน์ชัดเจนถึงเรื่องหนังเน่าและเนื้อเน่าทำให้ต้องตัดขา มีแผลเรื้อรังรักษาไม่หาย รวมทั้งแผลที่ทำให้มีการติดเชื้อซ้ำซ้อน ทำให้เกิดเสียชีวิตปีละเป็น 1,000 คน
ถัดมา...สารเคมี “ไกลโฟเซต” มีการใช้อย่างมโหฬารในประเทศสหรัฐฯ ตั้งแต่ต้นทศวรรษปี 1900 ได้มีการติดตามความเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคมะเร็งมาตลอดโดยมีข้อโต้แย้ง และจนกระทั่งถึงปี 2018 จึงได้เกิดมีคดีฟ้องร้องและบริษัทสารเคมีแพ้ต้องชดใช้เป็นเงินหลายร้อยล้าน ฐานที่ไม่แสดงข้อมูลเกี่ยวข้องกับอันตรายที่เกิดขึ้น...
จวบจนวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2019 จึงได้ข้อมูลที่ชี้ชัดถึงการที่ไกลโฟเซต มีความเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิด non hodgkin lymphoma โดยก่อนหน้านั้นเกือบ 10 ปีก็มีข้อมูลอยู่แล้วแต่ไม่เป็นที่ยอมรับจากบริษัทที่ผลิตสารเคมี จนกระทั่งถึงปี 2019 นี้ที่ข้อมูลชัดเจนหนักแน่น และประเทศมาเลเซียแบน
...
สุดท้าย...สารเคมีฆ่าแมลง “คลอร์ไพริฟอส” ถูกระบุชัดเจนว่าสามารถเข้าไปยังเด็กที่ยังอยู่ในท้องของแม่ ไม่ว่าจะได้รับปริมาณเพียงน้อยนิดแต่เมื่อเกิดมาปัญญาอ่อนด้อยและสามารถพิสูจน์ได้จากความผิดปกติของสมองจากการทำคอมพิวเตอร์สนามแม่เหล็กไฟฟ้าที่สามารถระบุตำแหน่งของการควบคุมสติปัญญา ตั้งแต่ปี 2012
โดยมีคำสั่งให้ยกเลิกการใช้ในปี ค.ศ.2018
และ...ต้องเรียนย้ำว่าสารทั้งหมดมีอันตรายได้แม้ปริมาณที่ได้รับในแต่ละวันจะน้อย แต่มีการสะสมในระยะยาวซึ่งมีการทดสอบในสัตว์ทดลองและการติดตามระยะยาวในมนุษย์
ประเด็นสำคัญเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าการที่จะพิสูจน์อันตรายของสารเคมีเหล่านี้ใช้เวลาหลายสิบปี แต่ก็ยังไม่สามารถโน้มน้าวให้ผู้ที่รับผิดชอบตัดสินใจได้...แล้วยังต้องอยู่ในวังวนของผลประโยชน์ของผู้ผลิต ผู้ส่งออก...ผู้นำเข้า...ผู้จำหน่าย ผู้ที่ได้รับผลประโยชน์ในการส่งเสริม
คำถามสำคัญมีว่า สำหรับ “ประเทศไทย” ทางออกควรจะอยู่ที่ไหน?
ศ.นพ.ธีระวัฒน์ บอกว่า ในประเทศไทยคงไม่มีทางออกถ้ามีการมองประเด็นเหล่านี้ โดยการที่ต้องใช้มติในการตัดสินทั้งๆที่ไม่ได้พิจารณาถึงข้อมูลอย่างถี่ถ้วน...แม้กระทั่งข้อมูลที่เห็นอยู่ตรงหน้าแต่ก็ยังมีการปฏิเสธ
นอกจากนั้น มาตรการทดแทนต่างๆมีการปฏิบัติมาตลอดในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา...มีความพยายามที่จะส่งเสริมและมีการแสดงผลงานในพื้นที่ต่างๆในหลายจังหวัดแต่ไม่ได้รับการส่งเสริม
“รัฐและผู้บริหารต้องมองผู้ที่ออกมาประท้วงเรื่องการใช้สารเคมีว่า...ทำเพื่อใคร ทำเพื่ออะไร...ทำเพื่อตัวเอง เพื่อเงินทอง เพื่อลาภยศชื่อเสียงหรือไม่?...มองดูรอบด้าน ด้วยใจเป็นธรรม ด้วยใจเป็นกลางและจะพบคำตอบเอง”
ฉายภาพตัวอย่าง ตัดตอนมาจากบทความที่โพสต์ไว้ในเฟซบุ๊กส่วนตัว “ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา Thiravat Hemachudha” เรื่อง “Thailand ...0. ...China 5.0...” Credit : หนังสือ CHINA 5.0
คงไม่มีใครปฏิเสธว่า จีนเป็น...ประเทศมหาอำนาจของโลกตอนนี้ และ...จะเป็นไปอีกหลายปี ตั้งแต่จีนมีนโยบายเริ่มเปิดประเทศ โดยเติ้ง เสี่ยวผิง เมื่อ 40 ปีก่อน ปัจจุบัน “สี จิ้นผิง” เป็น...ผู้นำรุ่นที่ 5 หลังจีนเปิดประเทศ เป็น...ผู้นำที่ได้ชื่อว่า สร้างความเปลี่ยนแปลง และทำให้จีนเจริญรุดหน้าประเทศอื่น
“สี จิ้นผิง” ทำได้อย่างไรและจะทำอะไรต่อไป “จีน” กำลังจะมุ่งหน้าไปทิศทางไหน...ไทยเราควรปรับตัว ฉวยโอกาสอย่างไร จุดสนใจมีว่า...อังกฤษใช้เวลา 150 ปี กว่าจีดีพีต่อหัวจะเพิ่มขึ้น 1 เท่าตัว ในขณะที่ เยอรมนี ใช้เวลา 65 ปี สหรัฐฯ 53 ปี แต่...จีน...ใช้เวลาเพียง 12 ปี
ตัวเลขดังกล่าวจะช่วยให้เราเข้าใจคำพูดที่ว่า “เวลามีต้นทุน” ได้อย่างดี
โดยไม่ต้องอธิบายอะไรมาก เพราะถ้าคุณแค่อยู่เฉยๆในจีน เท่ากับคุณถอยหลังแล้ว...คำกล่าวที่ว่า 1 ปีของจีนเท่ากับ 10 ปีของประเทศอื่น ดูจะไม่เกินความจริงเท่าไหร่ เพราะจีนเป็นสังคมที่มีพลวัตเต็มไปด้วยพลังมาก ประเทศขับเคลื่อนด้วยคนรุ่นใหม่...โลกของจีนกลางเป็นวิชาบังคับ...ที่ทุกคนต้องศึกษา ไม่ใช่วิชาเลือกอีกต่อไปแล้ว
...
เหลียวมอง...การเมืองของจีน มีโครงสร้างที่ซับซ้อน แต่ก็มีเอกลักษณ์ เฉพาะตัว “สี จิ้นผิง” เข้าใจในจุดนี้เป็นอย่างดี จึงเลือกจะปฏิรูประบบการเมืองของจีนให้อยู่ได้ด้วยแนวทางที่เข้ากับพื้นฐานของประเทศ ไม่ตามชาติตะวันตกจนควบคุมไม่ได้...งานแรกที่ “สี จิ้นผิง” เลือกที่จะทำคือ
การสลายขั้วอำนาจของการเมืองทั้งสอง ด้วยการปราบคอร์รัปชันครั้งใหญ่ ...นักการเมืองสองขั้ว โดนจับมากกว่า 120 คนในช่วงเวลาเพียง 2 ปีแรกที่เข้ารับตำแหน่ง
แต่เท่านั้นยังไม่พอ เพราะมี...การปฏิรูปกองทัพครั้งใหญ่เกิดขึ้นด้วย
ยุทธศาสตร์ภายใต้การนำของ “สี จิ้นผิง”...ปี 2021 (พรรคคอมมิวนิสต์ครบ 100 ปี) คนจีนทั้งประเทศจะอยู่ดีกินดีระดับหนึ่ง ปราศจากความยากจน (แค่ 3 ปีนับจากนี้)...ปี 2035 จีนจะเป็นประเทศที่ทันสมัย...ปี 2049 ประเทศจีนจะครบรอบ 100 ปี จีน...จะเป็นประเทศมหาอำนาจสมัยใหม่ที่ร่ำรวย ประชาชนเป็นใหญ่
ตัดมาที่...โครงการเชื่อมโลก “One-Belt-One-Road”ที่ เราคุ้นหู ประเทศไทย...อยู่ในส่วนที่เรียกว่า “ระเบียงเศรษฐกิจคาบสมุทรอินโดจีน” ซึ่งรวมเวียดนามและกัมพูชาด้วย ระเบียงนี้เป็นเพียง 1 ใน 6 ระเบียงเศรษฐกิจย่อยเท่านั้น...ภาพรวมของโครงการนี้ต้องบอกว่าใหญ่ระดับที่ส่งผลกระทบกับชีวิตคนมากกว่าครึ่งโลกจริงๆ
...มากกว่าส่งคนไปดวงจันทร์เสียอีก เพราะผลกระทบนี้เกี่ยวข้องกับชีวิตเราทุกมิติจริงๆ โดยเฉพาะเศรษฐกิจการอพยพย้ายถิ่นฐานของผู้คน การหลั่งไหลแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม
...
ทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นภาพสำคัญ...เพื่อรู้เท่าทันอนาคตของเราและอนาคตของโลก เหลียวหันกลับมามองจิ๊กซอว์ชิ้นเล็กๆในประเทศไทย เอาแค่ปัญหาสารเคมีปนเปื้อน แผ่นดินอาบพิษ หรือ...นโยบายกัญชาแห่งชาติ
ศ.นพ.ธีระวัฒน์ สะท้อนว่า ถึงเวลาหรือยังที่ต้องเลิกสารพิษพวกนี้ และปกป้องคนไทยทั้งประเทศ หนังเน่าเนื้อเน่า...คนถูกตัดขา คนตาย...ผักผลไม้ปนเปื้อนด้วยสารเคมีพิษเหล่านี้เต็มไปหมด
“ทำออกข่าวเป็นห่วงเกษตรกรเรื่องสารเคมีพิษจะไม่มีอะไรใช้ ไม่มีรายได้ ทั้งๆที่ในช่วงเปลี่ยนผ่านสามารถมีกองทุนทดแทน และมาตรการทดแทนมีแล้ว...ทำเป็นห่วงโทษของกัญชา ทั้งๆที่บอกแล้วว่าใช้ทางการแพทย์ ทำมาบอกว่าไม่มีหลักฐานว่าได้ผล เชิญลงมาดูคนป่วย คนยากไร้ที่ได้ประโยชน์”
“ประเทศไทย” มีผลประโยชน์ทับซ้อนอยู่มาก...ทำยังไงจะไล่ “คนเลว” ออกไปให้หมดได้...เราปล่อยให้คนพวกนี้อยู่ในแผ่นดินไทยได้อย่างไร คนเหล่านี้ไร้ค่า...ไม่ควรเป็นคนไทย เหยียบผืนแผ่นดินไทย หายใจเอาอากาศเดียวกับที่เราหายใจ #กำจัดคนเลวให้สิ้นซาก.