ในที่สุดเจ้าของอักษรย่อ "ว" ก็ได้ปรากฏตัว หลังจากถูกคาดหมายว่าจะเป็นผู้ท้าชิงม้ามืดคนใหม่ ในตำแหน่งนายกสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ นอกเหนือจาก "บิ๊กเชฐ" พิเชฐ มั่นคง อดีตประธานสโมสรการท่าเรือไทยฯ และ "บังยี" วรวีร์ มะกูดี อดีตนายกสมาคมฟุตบอลฯ นั่นก็คือ "บิ๊กก๊อง" วิรัช ชาญพานิชย์ อดีตผู้จัดการทีมชาติไทย ก่อนที่การเลือกตั้งครั้งนี้จะถูกล้างกระดานไปอย่างน่าสงสัย เมื่อวันที่ 6 พ.ค.ที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม การเปิดเผยตัวเป็นครั้งแรกของนายวิรัช ได้สร้างความฮือฮาพอสมควรแก่วงการลูกหนังไทย หลังจากปิดเป็นความลับมานาน ทีมข่าวกีฬาไทยรัฐออนไลน์ ไม่รอช้าที่จะเข้าไปสัมภาษณ์ถึงบ้านพักย่านสุทธิสารของอดีต ผจก.ทีมชาติไทยท่านนี้ ว่าเหตุใดถึงตัดสินใจอาสาเข้ามาแก้วิกฤติบอลไทยในครั้งนี้
เพราะอะไรถึงออกมาแสดงตัวในวันเลือกตั้ง...?
เพราะสมาชิกจากแต่ละสโมสรต้องการการเปลี่ยนแปลง เนื่องจากที่ผ่านมาวงการฟุตบอลไทยมันเริ่มตกต่ำเป็นอย่างมาก และตัวผมเองรู้สึกปฏิเสธยากที่จะอาสาเข้ามาสมัครลงตำแหน่งครั้งนี้ เพราะอย่างที่ผ่านมา รายการซีเกมส์เราไม่เคยเป็นรองใคร และได้เป็นแชมป์ติดต่อมาเป็น 10 ปี แต่ล่าสุดตกรอบแรกอย่างที่ทราบกัน สมัยผมมีโอกาสได้เข้าไปทำทีมชาติไทยในยุคนั้น และได้แชมป์ซีเกมส์ครั้งแรกที่ประเทศสิงค์โปร์ หลังจากนั้นก็เป็นแชมป์อีก 8 สมัยติดต่อกัน โดยใน 8 ครั้งผมเองมีส่วนร่วมอยู่ 5 สมัย

...
ก่อนหน้านี้ทำอะไรทำไมถึงหายเงียบไปจากวงการกีฬา...?
ทำพวกธุรกิจส่วนตัว อย่างเช่นงานระบบงานไฟฟ้า สุขาภิบาล และพวกระบบพิเศษ ภาษารวมๆ ก็คือผู้รับเหมางาน แต่จริงๆ แล้ว ไม่ได้หายไปจากวงการกีฬานะ ยังทำงานอยู่เป็นอุปนายกฝ่ายเทคนิคของสมาคมฯ แต่เขาไม่ให้ผมทำอะไร ผมเลยไม่ได้ทำอะไร และกลับไปช่วยบริหารสมาคมศิษย์เก่าของโรงเรียนสวนกุหลาบ ชีวิตของผมอยู่กับพี่ๆ น้องๆ อยู่ไปเรื่อยๆ ยังอยู่ในวงการฟุตบอลเหมือนเดิม
มองการเลือกตั้งนายกครั้งนี้เป็นอย่างไร...?
จริงๆ แล้วสมาคมฟุตบอลฯ มีวาระครั้งละ 2 ปี คือ ผู้บริหารสมาคมและสภากรรมการ ปกติหมดเทอมตั้งแต่วันที่ 31 มี.ค.ที่ผ่านมา เพราะฉะนั้นเขาต้องมีการเลือกตั้งภายในก่อน 31 มี.ค. แต่ไม่ได้ทำ เพราะเขาอาจจะไม่แน่ใจว่าจะได้กลับมาหรือไม่ พยายามเอาเรื่องกฎของฟีฟ่าออกมาอ้าง ซึ่งผมมองแล้วว่ามันไม่จริง หรือถ้าจะแก้กฎกติกาใหม่ ต้องไปแก้ในที่ประชุมใหญ่ทั้งหมด รวมทั้งสโมสรและสมาชิกในการประชุมใหญ่ครั้งนี้
แต่ผมมองแล้ว อย่างคุณพิเชฐ บางคนคิดว่าเขาเป็นหมากให้ผมเดิน จริงๆ แล้ว ไม่ใช่เป็นอย่างที่คนอื่นพูดกัน เพราะเขาเองมีจิตใจที่อยากเข้ามาเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีเช่นกัน และผมกับเขาไม่มีความรู้จักกันเป็นการส่วนตัว ผมจะไปสั่งให้เป็นหมากในกระดานได้อย่างไร สังคมว่ากันไปตามประสา แต่ผมไม่ได้โทษใคร เพราะเขาไม่ได้รู้จริง อย่างวันเลือกตั้งเข้าห้องประชุมไม่ได้ เนื่องจากไม่มีใบมอบอำนาจจากสโมสรสมาชิกที่มีสิทธิ์ ส่วนผมที่เข้าไปได้นั้น เพราะในนามสภากรรมการ ผมเองยังนึกสงสารเขาเลย สังคมออนไลน์บอกคุณพิเชฐ เป็นฮีโร่ ยก 30 เสียงมาให้ผม แต่กลับกันเขาเข้าห้องประชุมไม่ได้ แล้วเขาจะมีเสียงตรงไหน

ส่วนคุณวรวีร์ เป็นแชมป์ และเป็นฟีฟ่าเมมเบอร์ รวมถึงฐานกำลังที่มีสื่อจิ๊กโก๋ใหญ่คอยเป็นแบ็กอัพ เลยทำให้สมาชิกสโมสรต่างมีความต้องการความเปลี่ยนแปลง แต่ถ้าการเลือกตั้งครั้งนี้ เขามั่นใจว่าเขาจะได้ แล้วจะล้มการเลือกตั้งทำไม กรณีกลับกันหากเรารู้ว่ามีฐานเสียงที่แน่น แล้วใครอยากยกเลิกการประชุม
แต่ถ้าถามว่าผมจะชนะไหม ผมบอกเลยว่าผมเองไม่รู้ มันต้องขึ้นอยู่กับสมาชิกที่เขาจะเลือกตัดสินใจว่าเป็นอย่างไร เพราะผมเองไม่มีเงินที่จะไปซื้อใคร และผมไม่คิดจะซื้อใครด้วย เพราะว่าตำแหน่งนายกสมาคมฯ ไม่ใช่เป็นเป้าหมายใหญ่ของผม และที่ผมอยากเข้ามาทำงาน เพราะพวกที่มีอุดมการณ์ร่วมของคนทุกคนที่อยากจะทำจริง แต่ถ้าถามว่ากลัวแพ้หรือไม่ ผมไม่ได้กลัวนะ เพียงแค่อยากทำหน้าที่ตามความต้องการของสมาชิกสโมสรเท่านั้น
มองอย่างไรกับโอกาสของตัวเองในการเลือกตั้งครั้งนี้...?
ตอนนี้ผมเองยังไม่รู้ เพราะยิ่งเลื่อนออกไป มันก็ยิ่งแย่ กระแสสังคมยิ่งจางหายไปเรื่อยๆ และสมาคมก็เสียหาย แต่ถ้า กกท.ผู้มีอำนาจทางกฎหมายทำงานอย่างจริงจัง และให้เสร็จภายใน 2 สัปดาห์นี้ ซึ่งผมมองว่าน่าจะเลือกตั้งจบลงภายในปลายเดือนหรือวันที่ 24-25 พ.ค.นี้ จะเป็นเรื่องดี
นโยบายที่เข้ามาปรับเปลี่ยนหากได้เป็นนายกสมาคมฟุตบอล...?
ผมมีความคิดที่อยากทำมาตั้งนานแล้ว อย่างแรกในตอนนี้ต้องเอาทีมชาติไทยกลับมาเป็นเจ้าอาเซียนให้ได้ก่อนเป็นอันดับแรก เพราะที่ผ่านมาทีมชาติเราเหมือนว่าจะตกต่ำ และมันเป็นความรู้สึกของคนไทยทั้งประเทศ สองต้องบริหารสมาคมให้เป็นมืออาชีพ โปร่งใส่ ตรวจสอบได้ สาม บริษัทไทยพรีเมียร์ลีกต้องดูให้ชัดเจน ว่าเป็นมืออาชีพหรือไม่ ฟุตบอลลีกบ้านเราที่จะเดินไปในทางที่ดีได้ คือปัญหากรรมการของบ้านเรา ที่มีการพัฒนาไม่ทัน และต้องให้เขาเป็นองค์กรอิสระเพื่อบริหารกันเอง เพราะสมาคมจะได้ไม่ถูกตำหนิ อย่างน้อยในอนาคตเป็นสมาคมอาชีพที่จะสร้างอาชีพให้กับผู้ตัดสินได้ ซึ่งผมมองว่าเป็นอีกทางเลือกของอาชีพสังคมไทย รวมถึงเปิดหลักสูตรให้เรียนรู้แบบฟีฟ่าให้ชัดเจน เพราะฉะนั้นก็เป็นรูปธรรมที่ชัดเจน ไม่ต้องมาแบ่งแยกเป็นก๊กเป็นเหล่าเหมือนทุกวันนี้
...

ส่วนเรื่องผลงานทีมชาติไทยนั้น สมัยอดีตผมพาทีมชาติไทยเป็นเจ้าซีเกมส์ได้ และผมพาขยับไปถึงอันดับที่ 4 ในรายการเอเชียนเกมส์ และพาทีมชาติไปถึง 10 ทีมของเอเซียที่ใกล้เคียงที่สุด อย่างไรก็ดี ผมมองว่า ถ้าเราไม่เป็นเจ้าตลาดสินค้าในระดับล่างก่อน เราจะไม่มีสิทธิ์ขยับขึ้นไปตลาดข้างบนได้ อย่าไปฝันว่าเราจะไปถึงฟุตบอลโลก แต่เราต้องทำการบ้านของเราตรงนี้ให้ดีเสียก่อน เพราะมันเหมือนเป็นขั้นตอนอย่างหนึ่ง และถ้าเราเป็นเจ้าอาเซียนแบบถาวรได้เมื่อไหร่ ต่อไปเราจะไปในระดับเอเซียเริ่มง่ายขึ้นเรื่อยๆ แต่ขณะเดียวกันตอนนี้ในระดับอาเซียนยังครองไม่ได้ เล่นกับทีมชาติลาวยังกลัวแพ้ แล้วเราจะไปถึงไหน ที่ผ่านมาเรายังขาดเรื่องของการใส่ใจในเรื่องนี้ โดยเฉพาะทรัพยากรนักเตะในปัจจุบันของเราสามารถเลือกนักเตะได้มากขึ้น
เพราะฉะนั้นการแข่งขันในระดับทีมชาติมันมีโปรแกรมที่ตายตัวอยู่แล้วว่ามีกิจกรรมอะไรบ้าง และโปรแกรมไทยพรีเมียร์ลีกของเราก็รู้ว่าจะมีแข่งขันวันไหน ถ้ามีทัวร์นาเมนต์ระดับทีมชาติ เราจะได้หลีกทางให้ทีมชาติเก็บตัวฝึกซ้อมเต็มที่ ไม่ใช่ว่าจะอีก 2-3 วันแล้วจะมาเก็บตัว แบบนี้จะเอาอะไรไปชนะคนอื่นเขาได้ ต้องตกรอบกลางอากาศอย่างชุดปรีโอลิกปิกเหมือนครั้งนี้ ที่ขาดการใส่ใจที่ดีพอ ในการพาทีมชาติไปสู้เป้าหมายที่วางไว้ อย่างไรก็ตาม ทีมชาติในระดับอาเชียนด้วยกัน ผมดูแล้วไม่มีความแตกต่างจากของเราเลยในความรู้สึกของผม เพียงแต่เขามีความพร้อมมากกว่าเราเท่านั้น
และทุกวันนี้ทุกทีมในอาเซียนต้องการที่จะล้มเราทั้งหมด อย่างที่ผ่านมาเวียดนาม, มาเลเซีย, อินโดนีเซีย สู้เราไม่ได้ เพราะฉะนั้นการแข่งขันฟุตบอลก็เหมือนการทำสงคราม เราต้องมีการเตรียมตัวที่ดีและต้องใส่ใจ และบริหารให้เป็น แล้วสักวันมันจะต้องกลับมาเป็นของเรา
...
ทุกวันนี้มีสังคมแฟนบอลมากขึ้น อยากให้แฟนบอลมีส่วนร่วมอะไรบ้าง...?
แฟนบอลเป็นกำลังอย่างหนึ่งที่วิ่งได้ และผมเองก็เห็นความสำคัญของแฟนบอลเสมอว่าจะทำอย่างไรให้เขามีส่วนร่วมกับเราได้ เช่น ในอนาคตถ้าเขาอยากมีสิทธิ์มีเสียงการเลือกตั้งนายกเหมือนกับสมาชิกสโมสร เขาต้องทำอย่างไรบ้าง หาวิธีให้เขามีสิทธิ์ตรงนี้ โดยต้องเสนอให้เขาไปจัดตั้งสโมสรเชียร์ไทยเป็นนิติบุคคล แล้วมาสมัครกับทางสมาคมเพื่อจะได้เป็นสมาชิกของเรา ถึงจะมีสิทธิ์เลือกตั้งได้ โดยให้เขาต้องส่งทีมมาเข้าร่วมแข่งขันฟุตบอลในระดับถ้วย ง. เพราะจริงๆ แล้วหน้าที่ของสมาคมนั้น คือดูแลสมาชิกสโมสรให้รับผลประโยชน์มากที่สุด

อย่างเช่นเรื่องกองเชียร์มีความสำคัญในการสนันสนุนกองเชียร์ เพราะเป็นสีสันแก่วงการฟุตบอลบ้านเรา ที่ผ่านมาผมมีคำถามอยู่ในใจว่า ตอนที่ผมพาทีมชาติไปแข่งขันต่างประเทศ แล้วมีแฟนบอลเดินทางตามไปเชียร์ ผมเองยังอดคิดไม่ได้ว่า แฟนบอลเอาเงินและงบประมาณมาจากไหนมาใช้ในการเดินทาง เพราะกองเชียร์เป็นกำลังใจของนักกีฬา และสีสันของเกมกีฬาด้วย แต่ผมมองแล้วว่ายังไม่เป็นรูปธรรม เพราะฉะนั้นในอนาคตถ้าเราสามารถหาแนวทางเสนอให้แฟนบอลตามเชียร์เราได้ ก็คงเป็นเรื่องที่ดีในความคิดของผม อย่างไรก็ดี ต้องมีการนำเสนอเรื่องนี้ถึงที่ประชุมกับทางสภากรรมการอีกครั้งว่าเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบอีกครั้ง
...
ถ้าได้เป็นนายก จะเลือกใครมาเป็นทีมงานบ้าง...?
ยังไม่ได้คิดไกลถึงขนาดนั้น แต่ก็มีคิดไว้บ้างแล้ว และก็ไม่อยากเปิดเผยในตอนนี้ เพราะยังไม่เป็นรูปธรรมที่ชัดเจน เพียงแค่ได้ติดต่อทาบทามกันพอสมควร ว่าใครต้องมาทำอะไร ถ้าเปิดเผยไปแล้วผมเกิดไม่ได้เข้าไปทำตรงนี้ คนที่ติดต่อไว้จะเสียหายได้

ผมไม่รู้นะว่าผมจะได้หรือไหม แต่ผมเป็นนักกีฬาผมต้องมีการเตรียมตัวเช่นกัน โดยหาทางอย่างไรที่จะได้เสียงจากสมาชิก โดยไม่ใช้การซื้อเสียง และทุกวันนี้มีการพูดคุยกัน หาวิธีคิดด้วยกันเพื่อหาการเปลี่ยนแปลงร่วมกัน พร้อมกับเอื้ออำนวยความสะดวกเท่าที่ทำได้ สิ่งนี้ผมซื้อด้วยใจนะ ดีกว่าซื้อด้วยเงิน และถ้าแฟนอาจอยากให้ผมเป็นตามกระแสสังคม แต่ถ้าถามกลับไปว่าอยากให้ผมเป็นจริงไหมนั้น พวกเขาเหล่านั้นไม่มีสิทธิ์ที่จะออกเสียง แต่ผู้ที่จะมีสิทธิ์ออกเสียงต้องเป็นสมาชิกเท่านั้น ซึ่งผมเองทำการบ้านอยู่ตลอด และพยายามชักจูงคนที่มีแนวคิดการเปลี่ยนแปลงเข้ามาทำงานร่วมกันเพื่อบริหารสมาคมแบบจริงจัง ซึ่งคนเหล่านี้ผมคิดว่าใครไปซื้อไม่ได้นะ
เป็นไปได้หรือไหมว่าการเลือกตั้งที่ผ่านมา ทราบผลก่อน...?
มันมีการทำเอ็กซิทโพลสอบถามกันก่อนแล้ว อย่างก่อนการเลือกตั้งเขามีการเช็คหลักฐานผู้ที่สิทธิ์ออกเสียง ถึงจะเข้าห้องประชุมได้ ซึ่งเรื่องนี้ก็เป็นการเช็คฐานกำลังไปในตัวเช่นกัน สมมติว่าหนังสือมอบอำนาจมีเป็นฝั่งผม 50 เสียง และฝั่งเขา 30 เสียง แสดงว่าเป็นผู้ไม่ได้มาเอง อย่างคุณวรวีร์ ที่เขาผ่านการเลือกตั้งมาเยอะ เขาสัมผัสแบบนี้เขารู้แล้วว่า เขาจะได้หรือไม่ได้
ระเบียบการของสมาคมการล้มเลือกตั้งมีกฎหรือไม่...?
มีนะ แต่จริงๆ แล้วไม่มีสิทธิ์ที่จะล้มการประชุมใหญ่สามัญประจำปี แต่ถ้าจะยกเลิกต้องขออนุญาตเสียงของสมาชิก 2 ใน 3 เสียง เพื่อขอยกเลิกการประชุม นั่นคือกฎของสมาคมที่มีการระบุชัดเจน ขณะเดียวกันก็ผิดพระราชบัญญัติกีฬาของ กกท.ด้วย เพราะจริงแล้ว ยกเลิกไม่ได้ ก่อนเกิดเหตุเขาได้ปรึกษากับทาง กกท.แล้วก็อ้างว่ามีสโมสรสมาชิกซ้ำซ้อน 2 ใบ ถึงได้เลื่อนออกไป ก็ไม่ได้ตัดสินชี้ขาดกัน เพราะไม่ได้ทั้งคู่ แต่สุดท้ายเอาไปพิสูจน์กัน ใครจะบอกว่าเป็นของจริงต้องเอามาพิสูจน์กันภายหลังได้ และถ้ามีการโกงกันจริง เท่ากับว่าปลอมแปลงเอกสาร แต่ในที่ประชุมตอนนั้นมีอยู่ 145 สโมสรที่พร้อมแล้ว จาก 154 บวกกับสภากรรมการ และอยู่ดีๆเขาเดินเข้ามาบอกว่า “การลงทะเบียนหลักฐานมีการซ้ำซ้อนกัน และอาจจะทำให้มีปัญหาภายหลังการเลือกตั้ง และอาจไม่ได้การรับรองมา ผมขอปิดประชุม” ทั้งๆที่คนอื่นเขาเข้ามารอกันเป็นชั่วโมง สโมสรก็เริ่มโวยวายกัน แต่หลักยุทธศาสตร์ มีการเอื้ออำนวยกัน
เสียงของฝั่ง "บังยี" แตกจริงหรือไม่...?
อันนี้ผมไม่รู้นะ ผมรู้แต่ผมว่ามีความต้องการเปลี่ยงแปลงที่จริงจัง

สุดท้ายอยากฝากอะไรกับการเลือกตั้งนายกสมาคมฟุตบอลฯครั้งนี้...?
อยากฝากสมาชิกสโมสรที่มีเสียงเลือกตั้ง ให้ร่วมคิดร่วมทำกัน เพราะที่ผ่านมาถ้าคนบริหารชุดเก่าดีอยู่แล้วก็ไม่ต้องเปลี่ยนแปลง แต่ถ้าต้องการเปลี่ยน ผมพร้อมและคิดว่าการทำงานของผมเข้ามาเปลี่ยนแปลงสังคมฟุตบอลตรงนี้ได้ ส่วนที่มีกระแสข่าวว่าผมไปซื้อเสียงนั้น ต้องขอบอกเลยว่าไม่เป็นความจริง เพราะไม่ใช่วาระแผนชีวิตของผมที่จะเป็นนายกสมาคมตั้งแต่แรก ที่มาเพราะว่าเป็นความรู้สึกร่วมที่พี่ๆน้องๆเห็นพ้องว่าอยากเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี อย่างไรก็ดี ผมเองไม่ได้เป็นศัตรูกับคุณวรวีร์ แต่ความคิดเห็นในการบริหารงานของผมมันแตกต่างจากเดิม หากสมมติว่าผมได้เป็นจริง และคุณวรวีร์เขาเก่งเรื่องการต่างประเทศ ผมอาจดึงเขามาทำงานร่วมกันได้ แต่ถ้าว่าเขาชนะเหมือนเดิม เขาจะให้ผมมาดูแลทีมชาติ ผมก็ไม่ได้หนีไปไหน และพร้อมที่จะทำงานเต็มที่ แต่เวลาแข่งขันกัน เราต้องนำเสนอในสิ่งที่เรามีดีออกมา สมาชิกสโมสรจะเลือกใครเป็นสิทธิ์ของเขาในการตัดสินใจ

และนี่ก็เป็นเสียงจากบุคคลที่สามด้วยอักษร "ว" ที่ทีมข่าวกีฬาไทยรัฐออนไลน์นำมาเสนอให้ผู้อ่านได้รับรู้ถึงวงการฟุตบอลไทยบ้านเรา แม้ว่าก่อนหน้านี้เขาจะไม่ออกมาแสดงตัวก่อนการเลือกตั้งก็ตาม และการแสดงตัวอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยของอดีต ผจก.ทีมชาติไทยครั้งนี้ ที่ในสมัยอดีตเคยพาแข้งทีมชาติประสบความสำเร็จมาแล้ว รวมถึงใกล้เคียงกับฟุตบอลโลกมากที่สุด ถือว่าเป็นตัวเลือกอีกคนสำหรับวงการลูกหนังบ้านเราว่าจะให้ใครเป็นที่พึ่งยามวิกฤติของฟุตบอลไทย.