จังหวัดแพร่ขึ้นชื่อว่าเป็นจังหวัดที่มีขบวนการมอดไม้และลักลอบตัดไม้ทำลายป่ากันมาตลอดระยะเวลาหลายปี โดยไม่คำนึงถึงการเกิดอุทกภัยร้ายแรงในแต่ละปี อันเป็นผลกระทบที่เกิดจากการตัดไม้ทำลายป่า
ภาพการลักลอบตัดต้นไม้ขนาดใหญ่และมีอายุหลายร้อยปีใน จ.แพร่ ยังมีให้เห็นบ่อยครั้ง ท่ามกลางความเศร้าสะเทือนใจของประชาชนที่เห็นต้นไม้ใหญ่ถูกตัดทำลาย โดยมี นายทุน นักการเมือง และ ข้าราชการชั่ว สมรู้ร่วมคิดกันเป็นขบวนการ
ด้วยเหตุนี้ ต้นมะค่าโมงยักษ์ ขนาด 10 คนโอบ สูง 40 เมตร อายุร้อยกว่าปี ที่หลงเหลืออยู่เพียงต้นเดียวใน จ.แพร่ กลางป่าบนเขาห้วยแม่ปาน หมู่ที่ 6 ต.แม่ปาน อ.ลอง จ.แพร่ จึงหนีไม่พ้นการตัดโค่นของ นักการเมือง และ ข้าราชการ ตามใบสั่งของ นายทุนอิทธิพล
ชาวบ้านที่ทราบว่า ต้นมะค่าโมงอายุร้อยกว่าปีที่เหลืออยู่เพียงต้นเดียวใน จ.แพร่ ถูกตัดโค่น พากันเศร้าใจ และตัดใจทิ้งความเกรงกลัวอิทธิพลมืด เข้าร้องเรียนให้เจ้าหน้าที่ได้ทราบ
ต่อมาบ่ายวันที่ 31 พ.ค. 2552 พ.ต.อ.วสันต์ มัธยมนันท์ ผกก.สภ.ลอง จ.แพร่ จึงได้นำกำลังตำรวจ สนธิกำลังกับ นายภักดี สมใจ เจ้าพนักงานป่าไม้ชำนาญงาน หัวหน้าหน่วยป้องกันรักษาป่าที่ พร.22 บ้านแก่งหลวง และเจ้าหน้าที่ป่าไม้อีกจำนวนหนึ่ง บุกขึ้นไปยังพื้นที่ที่ชาวบ้านร้องเรียนว่ามีกลุ่มนายทุนขึ้นไปตัดไม้ขนาดใหญ่
ทันทีที่กำลังเจ้าหน้าที่เดินเท้าถึงกลางป่าบนเขาห้วยแม่ปาน ก็ต้องตกตะลึงกับภาพ ต้นมะค่าโมงยักษ์ถูกโค่น ลงมากองกับพื้น เจ้าหน้าที่บางคนถึงกับเอ่ยปากว่า "ตั้งแต่เกิดมาเพิ่งเคยเห็นต้นไม้ใหญ่ขนาดนี้"
จากการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่พบว่า ต้นไม้ใหญ่ที่ถูกตัดโค่นเป็นไม้มะค่าโมง ลำต้นตรงสวยงาม มีความสูงประมาณ 40 เมตร ลำต้นวัดโดยรอบต้องใช้คนโอบถึง 10 คน ถูกตัดโค่นมากองไว้เป็นท่อน รวม 21 ท่อน วัดเส้นผ่าศูนย์กลางได้ 2.5 เมตร
ไม้ที่ถูกลักลอบตัดถูกทิ้งไว้รอการชักลากออกจากป่า เนื่องจากนายทุนไม่สามารถขนย้ายลงจากเขาได้ ต้องใช้ช้างหลายเชือกชักลาก ประกอบกับเป็นช่วงหน้าฝน ขนย้ายลำบาก
ปรากฏว่าวันแรกเจ้าหน้าที่ป่าไม้ได้ใช้ช้างจากศูนย์ลำปาง จำนวน 2 เชือก มาชักลากท่อนซุงต้นมะค่าโมงลงจากเขา แต่นำลงมาได้เพียง 3 ท่อนเท่านั้น เพราะเกิดฝนตกหนัก และวันต่อมาเข้าไปชักลากท่อนไม้ของกลางทั้งหมดไปเก็บรักษาไว้ที่หน่วยป้องกันรักษาป่าที่ พร.22 บ้านแก่งหลวง ก่อนจะมอบให้ เจ้าหน้าที่ตำรวจสอบสวนติดตามแก๊งคนชั่วที่ลักลอบตัดมาดำเนินคดี
หลังจาก ผู้สื่อข่าว นสพ.ไทยรัฐ เข้าไปถ่ายภาพและเก็บรวบรวมข้อมูลแล้วเกี่ยวกับขบวนการชั่วที่ตัดต้นมะค่าโมงยักษ์นี้ ปรากฏว่าได้มีชายคนหนึ่งอ้างตัวเป็นกำนัน และลูกน้องนักการเมืองใหญ่ โทรศัพท์เข้ามาข่มขู่ไม่ให้มีการนำเสนอข่าวเรื่องนี้ เพราะเกรงจะเสียชื่อเสียง และไม่รับรองความปลอดภัยหากมีการเสนอข่าวขึ้น
แต่ผู้สื่อข่าวได้ส่งข่าวให้ นสพ.ไทยรัฐ ตีพิมพ์เปิดโปงขบวนการชั่วที่ร่วมกันตัดต้นมะค่าโมงยักษ์อย่างละเอียด
จนกระทั่งรุ่งขึ้นวันที่ 1 มิ.ย. 2552 นายวัลลภ พริ้งพงษ์ ผวจ.แพร่ ได้รับรายงานเรื่องต้นมะค่าโมงยักษ์ที่เหลืออยู่เพียงต้นเดียวใน จ.แพร่ ถูกตัดโค่น ก็นำคณะเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเดินทางไปตรวจที่เกิดเหตุ เมื่อเห็นสภาพต้นไม้ที่ถูกตัด นายวัลลภ ถึงกับตกใจและบ่นเสียดาย ก่อนจะสั่งให้นายอำเภอลอง และเจ้าหน้าที่เร่งสืบหาตัวการตัดโค่นมาดำเนินคดีให้ได้โดยเร็ว
พร้อมกันนี้ นายวัลลภ ผวจ.แพร่ ยังส่งกำลัง อส.ไปเฝ้าท่อนไม้ที่ยึดได้ เนื่องจากเกรงกลุ่มอิทธิพลจะเข้าไปขโมยขนย้ายไป และจากการข้อมูลเจาะลึกถึงกลุ่มบุคคลที่เกี่ยวพันกับการตัดต้นมะค่าโมงยักษ์ บ่งบอกถึงการปล่อยปละละเลยของเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบในพื้นที่ด้วย
ผวจ.แพร่ จึงได้รายงานข้อเท็จจริงไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้ง ฝ่ายปกครอง และ กรมป่าไม้ จากนั้นได้มีการโยกย้าย นายอำเภอลอง ออกนอกพื้นที่ทันที
ต่อมาวันที่ 3 มิ.ย. 2553 อธิบดีกรมป่าไม้ ได้ออกคำสั่งโยกย้าย เจ้าหน้าที่ป่าไม้ รวม 11 นาย ออกจากพื้นที่ และตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสอบสวนว่ามีใครเกี่ยวข้องบ้างหรือไม่
ทางด้าน เจ้าหน้าที่ตำรวจ ได้มีการสืบสวนสอบสวนจนได้หลักฐานแน่ชัดว่า มี กำนันคนหนึ่ง นำไม้ที่ตัดไปขายให้แก่วัดแห่งหนึ่งทางภาคเหนือ ในราคา 700,000 บาท จึงมีการดำเนินคดี ขณะนี้คดีอยู่ในขั้นตอนของอัยการ และผู้ต้องหาอยู่ระหว่างประกันตัว
ภายหลังการเสนอข่าวเปิดโปงขบวนการตัดต้นมะค่าโมงยักษ์แล้ว สร้างความไม่พอใจแก่ ขบวนการมอดไม้อิทธิพล มีการโทรศัพท์ข่มขู่และขับรถไล่คุกคามผู้สื่อข่าว จนกระทั่ง นายสมชัย หทยะตันติ ผวจ.แพร่ ที่ย้ายมาใหม่ และ พล.ต.ต.ฉลองชัย บุรีรัตน์ ผบก.ภ.จ.แพร่ ได้จัดเจ้าหน้าที่ตำรวจไปคอยคุ้มกันผู้สื่อข่าวมาตลอด จนกระทั่งปัจจุบัน
ข่าวนี้มีผลโดยตรงต่อผู้ที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันดูแลรักษาป่าไม้ และการเฝ้าติดตามจับกุมขบวนการตัดไม้ทำลาย การเปิดโปงการลักลอบตัดต้นมะค่าโมงยักษ์นี้ ทำให้มีการตื่นตัวขึ้นมาสืบสวนจับกุมผู้กระทำผิด และป้องกันไม่ให้มีการตัดไม้เพิ่มขึ้นอีก
กองบรรณาธิการ นสพ.ไทยรัฐ จึงพิจารณาให้ข่าวนี้ได้รับรางวัล "ข่าวยอดเยี่ยม ประจำปี 2552" ของ นสพ.ไทยรัฐ ซึ่งเป็นผลงานการทำข่าวของนายพิจิตร สมศักดิ์ ผู้สื่อข่าว จ.แพร่.
...