กรมอุทยานโวยคดี "ล่ากระทิง" ไม่คืบ ไม่มีการเรียกตัวผู้ต้องหาที่ถูกซัดทอดมาดำเนินคดี ทั้งการออกหมายเรียกและหมายจับ ขณะที่ผู้การตำรวจเมืองเพชรสั่งเร่งรัดคดีแล้ว ด้าน หน.อุทยาน ฮึดสู้จะฟ้ององค์กรอิสระที่ทำงานไม่โปร่งใส...
ภายหลังที่นายดำรงค์ พิเดช อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช ออกมาระบุถึงความไม่คืบหน้าในคดีลักลอบล่ากระทิงในผืนป่าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ทั้งที่เจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติฯ ได้สนธิกำลังกับเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวนภูธรภาค 7 ขอหมายศาล จ.เพชรบุรี บุกเข้าตรวจค้นและจับกุมตัวผู้ต้องหาที่ร่วมก่อคดียิงกระทิงแล้วนำหัวไปขาย ซึ่งมีคำรับสารภาพทั้งอาวุธปืนที่ใช้ในการล่า และซากสัตว์ป่าอีกหลายชนิด รวมทั้งระบุหัวหน้าทีม คือ อดีตทหารค่ายฝึกรบพิเศษแก่งกระจาน แต่เมื่อส่งคดีให้กับพนักงานสอบสวน สภ.แก่งกระจาน จ.เพชรบุรี แล้ว คดีไม่คืบ ไม่มีการเรียกตัวผู้ต้องหาที่ถูกซัดทอดมาดำเนินคดี ทั้งการออกหมายเรียกและหมายจับ จนทำให้พนักงานเจ้าหน้าที่ของอุทยานฯ และตัวนายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร ซึ่งเป็นหัวหน้าอุทยานฯ ถึงกับออกอาการท้อแท้ โดยตนจะลงพื้นที่ไปติดตามความคืบหน้าในคดีด้วยตนเองนั้น
...
เมื่อวันที่ 30 เม.ย. พล.ต.ต.วิรัช วัชรขจร ผบก.ภ.จว.เพชรบุรี กล่าวว่า เรื่องนี้เบื้องต้นตนเองไม่ทราบเรื่อง กระทั่งทราบจากสื่อและได้สอบถามข้อมูลไปยัง ผกก.สภ.แก่งกระจาน โดยได้รายงานเบื้องต้นว่า มีการเข้าตรวจค้นและจับกุมผู้ต้องหาจริง เมื่อวันที่ 23 มี.ค.2555 แต่ผู้ต้องหาไม่ได้ให้การที่ชัดเจนจึงทำให้เรื่องคดีล่าช้า แต่จากการสืบสวนด้านการข่าวก็พบว่า มีผู้เกี่ยวข้องที่เป็นอดีตทหารนอกประจำการเข้าไปเกี่ยวข้องจริง ซึ่งตนเองได้สั่งการให้ทาง ผกก.สภ.แก่งกระจาน เชิญตัวนายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร หัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจานมาให้ปากคำเพิ่มเติมเพื่อที่จะเชื่อมโยงไปยังตัวผู้กระทำผิดที่เข้ามาล่ากระทิงในพื้นที่แล้ว ซึ่งหากพบว่าเกี่ยวข้องจริงก็จะออกหมายเรียกหรือหมายจับในลำดับต่อไป
ขณะที่นายสุทธิพงษ์ ตันบุญยะศิริเดช นายอำเภอแก่งกระจาน ในฐานะหัวหน้าพนักงานสอบสวนคดีเกี่ยวข้องกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า ตนเองได้สอบถามไปยังผกก.สภ.แก่งกระจานแล้ว พบว่ามีการจับกุมผู้เกี่ยวข้องในคดีนี้จริงจำนวน 2 คน คือ นายบุญยืน ช่วงโชติ อยู่บ้านเลขที่ 46 ม.3 ต.ห้วยแม่เพรียง อ.แก่งกระจาน จ.เพชรบุรี และนายยวน ซื่อตรง อยู่บ้านเลขที่ 236 ม.3 ต.ห้วยแม่เพรียง อ.แก่งกระจาน จ.เพชรบุรี โดยจากการตรวจค้นบ้านพักนายบุญยืน พบมีอาวุธปืนลูกซองยาว 1 กระบอก ปืนแก๊ปยาว 1 กระบอก กระสุนปืนลูกซอง 25 นัด ซากสัตว์ประกอบด้วย เนื้ออีเห็นรมควัน เนื้อและขนเม่น จำนวนหนึ่ง ส่วนบ้านนายยวน ซื่อตรง พบอาวุธปืนลูกซองยาวมีทะเบียน 1 กระบอก กระสุนปืนลูกซอง 21 นัด เต่าเหลืองยังมีชีวิตอยู่ 2 ตัว ซากกระรอกป่า 1 ตัว
จากการสอบปากคำนายบุญยืน ช่วงโชติ ให้การรับสารภาพว่า ตนเองพร้อมด้วยทีมอดีตทหารค่ายฝึกรบพิเศษแก่งกระจานได้ร่วมกันยิงกระทิง ภายในเขตอุทยานแห่งชาติแก่งกระจานจริง โดยผู้กอง ก. อดีตนายทหารค่ายรบพิเศษแก่งกระจาน เป็นคนนำทาง และนายแม็คเป็นคนใช้อาวุธปืนยิงกระทิง จากนั้นได้ชำแหละเนื้อแล้วแบกกันออกมาจากป่า ประมาณคนละ 20 กิโลกรัม ส่วนหัวกระทิงนายแม็คเป็นคนนำออกไปเพื่อขายให้กับนายเริง โดยนัดหมายให้มารับหัวกระทิงภายในสนามกอล์ฟแห่งหนึ่งในอำเภอแก่งกระจาน เข้าใจว่าเหตุที่ล่าช้าเนื่องจาก ร.ต.ท.สมปอง ขำทวี พนักงานสอบสวนติดราชการไปอบรม โดยตนเองได้เร่งรัดคดีไปแล้ว คาดว่าจะได้ความคืบหน้าในเร็วๆ นี้
ในส่วนของนายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร หัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน กล่าวกับผู้สื่อข่าวในเชิงท้อแท้ว่า ตนและเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าทุกคนต่างมุ่งมั่นในการทำงานอย่างเต็มความสามารถ แม้ว่าจะมีพื้นที่ที่ต้องดูแลกว่า 1,800,000 ไร่ก็ตาม ซึ่งการทำงานเป็นไปอย่างยากลำบาก ทั้งในเรื่องของการปกป้องการบุกรุกทำลายป่า การล่าสัตว์ อีกทั้งยังมีภัยคุกคามจากชนกลุ่มน้อยในประเทศข้างเคียงที่บุกรุกเข้ามาแผ้วถางป่าทำกิน ตลอดจนล่าสัตว์ เมื่อมีการผลักดันก็มักจะถูกเอ็นจีโอและหลายองค์กรที่เข้ามาตรวจสอบโดยไม่ได้ลงพื้นที่จริง เชื่อแต่คำร้องเรียน ซึ่งก็เป็นคำร้องเรียนจากผู้กระทำความผิดทั้งสิ้น องค์กรเหล่านี้ไม่เคยลงพื้นที่จริง หรือรับฟังขั้นตอนการปฏิบัติงานตามกฎหมายของกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช อ้างเอาแต่ด้านสิทธิมนุษยชน ซึ่งหากเป็นไปตามกฎหมายก็ว่ากันไป แต่หากมีการกระทำผิดกฎหมายแล้วเจ้าหน้าที่ไม่จับกุมหรือผลักดัน เจ้าหน้าที่ก็กลายเป็นกระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่
"ทุกวันนี้เจ้าหน้าที่สับสนไปหมดแล้ว กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติเอง ลงพื้นที่มาตรวจสอบ ตามคำร้องก็มาเพียงผิวเผิน พอเราจัดเฮลิคอปเตอร์ให้ขึ้นไปดูพื้นที่ที่ชนกลุ่มน้อยเหล่านี้บุกรุกเข้ามา โค่นป่า ปลูกพืช ทั้งพืชไร่และกัญชา มีการกระทำในเชิงซ่องสุมกำลังและเสบียง คณะกรรมการสิทธิก็ไม่ยอมขึ้นไปดู มาแบบลวกๆ แล้วก็กลับไป เรามีหลักฐานทั้งหมด ขนาดบอกว่าต้นกัญชาสูงเกือบสองเมตร ให้บินไปดูด้วยกัน ก็ยังปฏิเสธไม่ไปดูทั้งที่มาถึงพื้นที่แล้ว แล้วมันจะยุติธรรมกับเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานได้อย่างไร ก็ต้องตัดพ้อผ่านสื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบพฤติกรรมและจริยธรรม กับคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนด้วย เพราะเรามีทั้งภาพ เสียง เหตุการณ์ทั้งหมดว่ากระทำถูกต้องหรือไม่
วันนี้พวกผมโชคดีที่มีนายดำรงค์ พิเดช ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาที่เข้าใจและลงพื้นที่จริง ทำให้ลูกน้องทั้งหมดยังมีขวัญและกำลังใจในการทำงาน แต่ก็อยากให้สังคมได้ตรวจสอบองค์กรเหล่านี้บ้างว่า มีการทำงานกันอย่างไร ทั้งข่มขู่เจ้าหน้าที่ ใช้วาจาถากถางต่างๆ นานา เช่น หัวหน้าอย่าขยันมากนะ เดี๋ยวจะถูกย้าย ซึ่งสื่อมวลชนเองก็บันทึกภาพและเสียงไว้ได้หมด จากนี้ไปผมจะสู้บ้างแล้ว จะฟ้ององค์กรเหล่านี้บ้าง ให้สังคมได้รับรู้ ขืนมานั่งหงอให้โขกสับอยู่อย่างนี้ ป่าไม้หมดป่าแน่ ผมจะไม่ยอมอย่างเด็ดขาดที่จะปล่อยให้ใครมาทำลายป่า หรือล่าสัตว์ป่าในพื้นที่ที่พวกผมดูแลอยู่" นายชัยวัฒน์ กล่าว
...