นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ

ปธ.วิปฝ่ายค้าน นำสมาชิก พท. เข้ายื่นญัตติซักฟอกรัฐบาล ยัด 12 ข้อหา "มาร์ค" ส่อทุจริต-ไร้วุฒิภาวะ-สั่งทหารฆ่าประชาชน พร้อม รมต.อีก 5 คน ระบุปล่อยไว้ประเทศพัง ยากต่อการเยียวยา ด้าน "ปู่ชัย"ขอเวลาดูเอกสาร 1 วัน..

เมื่อวันที่ 24 พ.ค. ที่รัฐสภา นายวิทยา บุรณศิริ ประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน (วิปฝ่ายค้าน) พร้อมด้วยรายชื่อ ส.ส.พรรคเพื่อ ไทยจำนวน 184 รายชื่อ ได้ยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจ แยกเป็น 2 ญัตติ คือ 1. ญัตติของเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และ 2. ยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล จำนวน 5 คน ได้แก่ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายโสภณ ซารัมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม นายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และนายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ต่อนายชัย ชิดชอบ ประธานสภาผู้แทนราษฎร

นายชัย กล่าวภายหลังรับญัตติว่า จะตรวจสอบให้แล้วเสร็จภายใน 1-2 วันนี้ เพราะฝ่ายนิติบัญญัติต้องการให้เกิดความสมานฉันท์ ให้ทุกฝ่ายได้ระบายความในใจจะได้เกิดประโยชน์ เมื่อตรวจสอบญัตติเสร็จสิ้นจะส่งให้รัฐบาลกำหนดวันอีกครั้ง คาดว่าน่าจะเทียบเคียงการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลในสมัยนายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกรัฐมนตรี ในวันที่ 24-26 มิ.ย. 2551 ได้ สำหรับตนจะพยายามตรวจสอบรายละเอียดต่างๆให้เสร็จเร็วที่สุด

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับญัตติขอเปิดอภิปรายนายกรัฐมนตรีได้มีการตั้งข้อกล่าวหานายอภิสิทธิ์ ในฐานะหัวหน้ารัฐบาลมีพฤติการณ์ที่ไม่น่าไว้วางใจให้บริหารราชการแผ่นดินถึง 12 ข้อ โดยระบุว่า มุ่งบริหารราชการแผ่นดินเพื่อมุ่งประโยชน์ให้กับตนเองและพวกพ้อง ส่งผลให้เกิดการทุจริตเชิงนโยบายอย่างเป็นรูปธรรม โดยไม่ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตเพื่อประโยชน์ของประเทศและประชาชน ขาดความรู้ความสามารถมีพฤติกรรมส่อว่าจงใจไม่ดำเนินการตามรัฐธรรมนูญ กฎหมาย และนโยบายที่แถลงไว้ กำกับดูแลบริหารราชการแผ่นดินไร้ประสิทธิภาพ รู้เห็นปล่อยปละละเลยให้รัฐมนตรีร่วมรัฐบาลทุจริตคอรัปชันแสวงหาประโยชน์จากงบประมาณแผ่นดินอย่างกว้างขวาง กำหนดนโยบายเพื่อเอื้อทุจริตเชิงนโยชบาย บริหารราชการแผ่นดินไม่เป็นตามหลักนิติธรรม ไม่มีความเสมอภาค ใช้อำนาจโดยไม่คำนึงถึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ละเมิดสิทธิมนุษย์ชนอย่างร้ายแรง สั่งการให้ทหารใช้อาวุธสงครามชนิดร้ายแรงเข้าปราบปรามประชาชนหลายครั้ง จนเป็นเหตุให้เกิดการเสียชีวิตหลายครั้ง กลั่นแกล้งใส่ร้ายป้ายสีให้ประชาชนที่มาชุมนุมโดยสงบ ต้องตกเป็นผู้ต้องหาในคดีอาญาฐานก่อการร้าย

นอกจากนี้ ยังละเว้นที่จะดำเนินคดีกับประชาชนอีกกลุ่มหนึ่งที่ทำผิดกฎหมาย โดยยึดสนามบิน ยึดทำเนียบ ไม่อำนวยความยุติธรรมแก่ประชาชนอย่างเท่าเทียม ไม่สามารถดูแลความมั่นคงปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน บริหารการต่างประเทศและด้านเศรษฐกิจล้มเหลว ขาดไร้วินัยการเงินการคลัง ไม่ดำเนินการเรื่องที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จนเป็นภัยพิบัติของประเทศ และขัดขวางต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมของประเทศ ลุแก่อำนาจบังคับใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือของตนเอง ปกปิดความผิดของตนเองและพวกพ้อง ครอบงำแทรกแซงการทำหน้าที่ของสื่อมวลชน ใช้อำนาจแทรกแซงการแต่งตั้งข้าราชการปล่อยให้นักการเมืองแสวงหาประโยชน์จากการแต่งตั้ง และขาดความจริงใจในความปรองดองและสมานฉันท์ พฤติกรรมดังกล่าวส่งผลให้เกิดความเสียหายต่อประเทศและประชาชนอย่างร้ายแรง หากปล่อยให้บริหารประเทศต่อไป ย่อมส่อให้เกิดความเสียหายต่อประเทศอย่างยากที่จะเยียวยาได้

ส่วนญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลตาม รัฐธรรมนูญมาตรา 159  ระบุว่า รัฐมนตรีทั้ง 5 คน ได้กระทำผิดรัฐธรรมนูญ กฎหมายและได้บริหารราชการแผ่นดินโดยไร้ประสิทธิภาพ ไร้ภาวะความเป็นผู้นำและวิสัยทัศน์ในการบริหารราชการแผ่นดิน ขาดคุณธรรม จริยธรรม ทำให้ประเทศชาติได้รับความเสียหาย โดยมีพฤติการณ์ดังนี้ 1. นายสุเทพ ในฐานะปฏิบัติหน้าที่แทนนายกฯ มีพฤติกรรมส่อกระทำผิดต่อหน้าที่ตั้งแต่เดือน มี.ค.-พ.ค. 53 กรณีสลายการชุมนุม ทำให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก ไม่เป็นไปตามมาตรฐานสากล และทำผิดตามกฎหมาย คือผิดต่อ พ.ร.ก.สถานการณ์ฉุกเฉิน ใช้กำลังทหารเข้าไปข่มขู่คุกคามในสถานีไทยคม และทำการทำลายสัญญาณการสื่อสารโทรทัศน์ ถือเป็นการละเมิดสิทธิเสรีภาพในการ สื่อสาร นอกจากนี้นายสุเทพยังได้แจ้งบัญชีทรัพย์สินหนี้สินอันเป็นเท็จต่อ ป.ป.ช. กระทำการบุกรุกทรัพยากรธรรมชาติของประเทศ โดยการบุกรุกภูเขา กระทำการออกโฉนดอันเป็นเอกสารสิทธิ์และเตรียมการจัดสรรที่ดินขายโดยไม่ชอบ

2. นายกรณ์ ดำเนินนโยบายด้านการเงินการคลังและงบประมาณของประเทศผิดพลาดบกพร่อง ไม่ดำเนินงานตามแผนงานการบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2552-2554 และแผนนิติบัญญัติ 2552-2554 ซึ่งมุ่งแสวงการก่อหนี้สาธารณะ จนขณะนี้หนี้สาธารณะสูงเกินกว่า 60% และเป็นภาระผูกพันต่อประเทศชาติ โดยไม่คำนึงถึงสถานะทางเศรษฐกิจและความจำเป็นในการใช้จ่ายของประเทศ และภาระหนี้สาธารณะที่มีอยู่นำเงินที่ได้จากการกู้ไปดำเนินนโยบายเพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับรัฐมนตรีในกระทรวงต่างๆ ทั้งที่โครงการแต่ละโครงการไม่ได้สร้างประโยชน์กับเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ มีการสูญเปล่าในหลายโครงการ ที่เรียกว่า “กู้มาโกง” ซึ่งงบประมาณแผ่นดินที่กู้มาส่วนใหญ่เป็นการก่อสร้างซ่อมถนน เม็ดเงินไม่ได้ลงไปถึงประชาชนและภาคการผลิตอันก่อให้เกิดรายได้ที่แท้จริง นอกจากนี้ยังได้ดำเนินการออก พ.ร.บ.กู้เงิน 4 แสนล้านบาท โดยไม่เป็นไปตามแผนนิติบัญญัติ

3. นายกษิต บริหารราชการแผ่นดิน โดยไม่ก่อให้เกิดภาพลักษณ์ที่ดีต่อประเทศในสายต่อประชาคมโลก มีพฤติกรรมข่มขู่ ก้าวร้าวต่อมิตรประเทศ สร้างความขัดแย้งระหว่างประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้าน ส่งผลให้ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเสื่อมทรุดอย่างไม่เคยมีมาก่อน มีทัศนคติที่เป็นอันตรายต่อฝ่ายที่เห็นต่างกับตนเอง มุ่งทำลายล้างนักการเมืองฝ่ายตรงกันข้ามในทุกวิถีทาง โดยไม่คำนึงถึงคุณธรรม จริยธรรม ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ซึ่งการกระทำดังกล่าวถือว่าไม่ปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญและนโยบายที่ได้แถลงไว้

4. นายชวรัตน์ มีพฤติกรรมทีส่อไปในทางทุจริตต่อหน้าที่และส่อว่ากระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการจงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญและกฎหมาย ไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง จากกรณีที่ให้บริษัทเครือญาติของตนเองเข้าเป็นคู่สัญญากับรัฐในหลายโครงการ โดยตนเองมีส่วนร่วมเข้าไปลงมติเห็นชอบกับโครงการดังกล่าวในฐานะรัฐมนตรี ส่งผลให้รัฐต้องจ่ายเงินมากกว่าที่ควรจ่ายหลายพันล้านบาท รู้เห็นหรือเกี่ยวข้องกับการทุจริตสอบเข้าโรงเรียนนายอำเภอ แทรกแซงและแสวงหาประโยชน์จากการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการ ปล่อยปละละเลยหรือเข้าไปเกี่ยวข้องกับการทุจริตจัดซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์ ของกรมการปกครอง อนุมัติให้มีการขออนุญาติจำหน่ายอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนเพื่อมุ่งแสวงหาประโยชน์ในเรื่องดังกล่าว

5. นายโสภณ  บริหารราชการโดยการกำหนดนโยบายเพื่อมุ่งแสวงหาประโยชน์ในทางทรัพย์สินและประโยชน์ทางการเมือง โดยไม่คำนึงถึงประสิทธิภาพในการใช้จ่ายงบประมาณแผ่นดิน รู้เห็นเป็นใจหรือยินยอมให้พวกพ้องหรือผู้สนับสนุนทางการเมืองของตนเองเข้ามาแสวงหาประโยชน์จากโครงการที่ได้กำหนดขึ้น มีพฤติการณ์ส่อไปในทางทุจริตต่อหน้าที่ ส่อว่าจงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญและกฎหมาย ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรงจากการเอื้อประโยชน์ ให้บริษัทเอกชนที่เป็นพวกพ้องของตนเอง และญาติของรัฐมนตรีในพรรคการเมืองของตนเองได้ประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบจาก การประมูลงาน และเป็นคู่สัญญากับรัฐ ส่งผลให้รัฐต้องสูญเสียเงินงบประมาณเกินกว่าความเป็นจริงหลายพันล้านบาท

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในญัตติยังระบุด้วยว่า จากพฤติกรรมในการบริหารราชการแผ่นดินของทั้ง 5 รัฐมนตรี ส่งผลกระทบต่อประเทศชาติและหประชาชนอย่างร้ายแรงทางด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมืองและทรัพยากรธรรมาชาติต้องถูกทำลายลง ไม่มีความเสมอภาคในการได้รับการจัดสรรทรัพยากรจากภาครัฐของประชาชน เกิดความเหลื่อมล้ำในสังคมทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น ทำให้ข้าราชการประจำเสียขวัญกำลังใจที่จะปฏิบัติราชการ กระทบต่อระบบการแต่งตั้งราชการอย่างร้ายแรง ภาพลักษณ์การทุจริตคอร์รัปชั่นของข้าราชการการเมืองและข้าราชการประจำ ประจักษ์ต่อสายตาประชาชนชาวไทยและประชาคมโลกส่งผลให้การจัดลำดับเครดิตของ ประเทศตกต่ำลงและการทุจริตในโครงการของรัฐนับวันจะยิ่งขยายวงกว้างออกไป อย่างไม่มีที่สิ้นสุด หากปล่อยให้รัฐมนตรีทั้ง 5 คนบริหารราชการแผ่นดินต่อไปจะทำให้เสียหายร้ายแรงแก่ประเทศชาติยากต่อการ เยียวยาได้.

...