5.หากท้ายที่สุดแกนนำของทั้งสองสียอมจับมือกัน ในความคิดของตนเองจะสามารถยุติความชิงชังที่มีต่ออีกฝ่ายที่อยู่ตรงกันข้าม หรือสามารถเปิดรับฟังความเห็นต่างของฝ่ายตรงข้าม นับจากนั้นได้หรือไม่ เพื่อไม่ให้เกิดศึกระหว่างสองสีระลอกใหม่ขึ้นอีก ? เป็นเรื่องที่น่าตกใจมากว่า ทั้งสองฝ่ายไม่มีใครเชื่อว่า ระดับแกนนำของทั้งสองสี จะยินยอมจับมือกันเพื่อยุติความขัดแย้งด้วยการเจรจา ทั้งที่ในความจริงการเมืองไทย ไม่เคยมีมิตรแท้และศัตรูถาวร ดังเช่นที่ผ่านมาก็มักจะเห็นกันแล้วว่า การเมืองประวัติศาสตร์การเมืองไทย หลายยุคหลายสมัยก็แสดงให้เห็นแล้วว่า การเปลี่ยนขั้วชนิดสุดเหลือเชื่อและไม่คิดว่าน่าจะเป็นไปได้ เกิดขึ้นกับนักการเมืองไทยมาแล้วทุกยุคทุกสมัย หากทั้งสองฝ่ายสามารถเจรจาต่อรองและสมประโยชน์กันและกันได้ก็ตาม
เนื่องจากทั้งสองฝ่ายมีความเชื่อมั่นว่า ความเห็นที่แตกต่างได้เดินทางมาไกลเกินกว่าที่จะสามารถพูดคุยกัน รวมทั้งไม่เชื่อว่าอีกฝ่ายจะยอมรับในเหตุผลและจุดยืนที่ต่างกันได้ และต่างมีธงในใจอยู่แล้วว่าจะเอาชนะกันและกันอย่างไร และจุดที่สำคัญมากคือไม่ว่าผลกระทบในทางร้ายจะเกิดขึ้นกับฝ่ายใด ต่างฝ่ายต่างก็ปักใจเชื่ออย่างแน่นอนว่า เป็นผลมาจากการกระทำของอีกฝ่ายหนึ่ง ซึ่งแสดงให้เห็นแล้วว่า ต่างฝ่ายต่างไม่มีความไว้เนื้อเชื่อใจซึ่งกันและกัน เหลืออยู่อีกต่อไปแล้ว ส่วนหากเรื่องดังกล่าวเกิดขึ้นจริง จะสามารถรับฟังความเห็นต่างของกันและกันได้หรือไม่นั้น เสียงสองสีส่วนใหญ่ยืนยัน ตรงกันว่า ความเห็นหรือจุดยืนของแต่ละฝ่ายจะดำรงค์อยู่ต่อไป เพราะต่างมองว่าทัศนะที่มีความสิ่งที่ฝ่ายตนเองเรียกความไม่ถูกต้องของอีกฝ่ายนั้น เป็นเรื่องที่มีผลกระทบต่อตนเอง เพราะฉะนั้นย่อมมีสิทธิอันชอบธรรมที่จะลุกขึ้นมาเรียกร้องหรือรักษาผลประโยชน์ให้กับตนเองได้ นอกจากนี้ยังเห็นว่าหากในเมื่ออีกฝ่ายสามารถทำอะไรเพื่อเรียกร้องผลประโยชน์ให้กับฝ่ายตนเองได้ ฝ่ายของตนเองก็น่าที่จะสามารถทำแบบนั้นได้เช่นกัน หากเป็นเช่นนั้นจริง คนไทยหรือสังคมไทยในเวลานี้กำลังก้าวเข้าสู่ภาวะป่วยทางจิตจากความตรึงเครียดที่มีต้นเหตุจากปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง หรือไม่ ? เพราะไม่ว่าจะมองมุมใดก็ดูเหมือนมักจะมีการใช้อารมณ์นำเหตุและผลเสมอ งั้นเราลองไปฟังทัศนะจากผู้เชี่ยวชาญด้านจิตเวชกันดีกว่า มองปรากฎการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นอย่างไร
พรุ่งนี้ฟังคำตอบ ... |