เมื่อคลิปคณะรัฐบุคคลถูกนำมาเผยแพร่ในโลกโซเชียลมีเดีย จนเป็นที่โจษจันไปทั่ว ทีมข่าวไทยรัฐออนไลน์ จึงขอนัดหนึ่งในอดีนนายทหารที่ร่วมหารือในวันนั้นด้วย คือ พล.อ.สายหยุด เกิดผล อดีตผู้บัญชาการทหารสูงสุด มาไขข้อข้องใจ ถึงข้อเสนอให้กองทัพและประชาชนเลือกข้าง...
พล.อ.สายหยุด ยิ้มแย้มอย่างอารมณ์ดี ก่อนตอบเราว่า “บ้านเมืองเรากำลังอยู่ในภาวะวิกฤติ ประชาชนและ กปปส. ออกมาปักหลักชุมนุมเป็นเวลาเกือบ 3 เดือน ทุกข์ทรมาน มีทั้งบาดเจ็บล้มตาย เขาไม่ได้ถูกจ้าง หรือถูกเกณฑ์มา สังเกตได้ชัดว่า ส่วนใหญ่เป็นชนชั้นกลางที่มีอาชีพการงานที่ดี รวมถึงคนชนบทด้วย
รัฐบาลชุดนี้ทำผิดพลาดหลายอย่าง หากเป็นประเทศอื่นตามมาตรฐานสากล คงแสดงความรับผิดชอบด้วยการลาออกไปนานแล้ว ผมอยากเน้นย้ำว่า ความรับผิดชอบ ความรู้ผิดรู้ชอบเป็นเรื่องสำคัญ ไม่ต้องรอให้กระบวนการทางกฎหมายมาสอบสวน เมื่อรัฐบาลไม่ยอมลาออก บ้านเมืองก็ไม่แพ้ ชนะ หากปล่อยไปเช่นนี้ รัฐบาลอยู่ได้ กลุ่ม กปปส.ที่มีกินมีใช้ก็อยู่ได้ แต่ความเสียหายคือ บ้านเมืองประเทศชาติและประชาชนที่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจเป็นส่วนใหญ่
“ตามระบอบประชาธิปไตย อำนาจอยู่ที่ปวงชนชาวไทย จึงต้องเข้ามาเกี่ยวข้องทางการเมือง เพราะการเมืองเป็นเรื่องของทุกคน ที่ผ่านมาผมเคยต่อสู้เรื่องนี้มาตั้งแต่ก่อตั้งองค์กรกลาง ที่กระทรวงมหาดไทยห้ามไม่ให้เกี่ยวข้องกับการเมือง แต่ช่วงเวลานั้นห้ามการยุ่งเกี่ยวทางการเมืองของนักการเมือง แต่เป็นข้อบังคับที่ถูกยกเลิกไปแล้ว แต่การเมืองของพลเมืองสามารถพูดได้"
พร้อมระบุด้วยว่า การเมืองมี 2 แบบ คือ แบบที่เป็นฝ่ายคือนักการเมือง และแบบไม่เป็นฝ่าย หรือรัฐบุรุษ ที่มีคำสั่งแต่งตั้ง จึงเลี่ยงมาใช้คำว่า รัฐบุคคล (stage man) ซึ่งเป็นบุคคลที่ทำการเมืองภาคพลเรือน (non partisan politics) หรือพลังเงียบ ที่จะมาตัดสินทางการเมือง ไม่เช่นนั้นจะกลายเป็นพวกนอนหลับทับสิทธิ์ ซึ่งเมืองไทยยังขาดรัฐบุคคล ที่มีคนเชื่อฟังมานานแล้ว ซึ่งในต่างประเทศเคยมีแล้ว เช่น ลี กวน ยู ของสิงคโปร์ / มหาตมะ คานธี ของอินเดีย
ดังนั้น เมื่อถึงเวลาบ้านเมืองคับขัน จึงไม่มีคนชี้นำ คณะรัฐบุคคลจึงพยายามเรียกร้อง เพราะส่วนตัวพวกเราแก่แล้ว ไม่อยากเข้าไปเกี่ยวข้อง ลูกหลานก็ไม่อยากให้ไป แต่จากการสำนึกในหน้าที่ที่เคยได้แก้ปัญหามา และเห็นว่าเป็นสิ่งที่พอจะทำได้ จึงชักชวนพรรคพวกที่มีแนวคิดเดียวกัน คือ ซื่อตรง ไม่เกี่ยวข้องกับฝ่ายการเมือง โดยมีนักวิชาการ อดีตข้าราชการ และอดีตผู้บัญชาการเหล่าทัพ จึงต้องมาร่วมทำหน้าที่ในฐานะรัฐบุคคล ซึ่งบุคคลเหล่านั้นก็เห็นด้วยกับผมว่าจะนิ่งเฉยไม่ได้
ก่อนเลือกตั้งเราเคยเสนอ เราสนับสนุนประชาธิปไตย ในฐานะที่ผมเคยบุกเบิกประชาธิปไตย เสนอให้ทหารเข้าใจประชาธิปไตยดีขึ้น สมัยที่ต่อสู้กับกลุ่มคอมมิวนิสต์ และเป็นหนี้ประชาชนที่ทำให้ได้รับชัยชนะ ปัจจัยสำคัญในระบอบประชาธิปไตย คือ ประชาชนที่เป็นพลังเงียบ หากพลังเงียบอยู่ข้างใด ฝ่ายนั้นชนะ ดังนั้น เมื่อผมเป็นหนี้อยู่จึงวางมือไม่ได้ ในสถานการณ์นี้ก็เช่นกัน คนที่ตัดสินได้คือประชาชน จึงเรียกร้องว่าประชาชนต้องเลือกข้างได้แล้วว่าจะอยู่ข้างไหน เพราะประเทศชาติกำลังเดินลงสู่เหว หากเราไม่ทำอะไร”
...
ขณะเดียวกันเห็นว่า สถานการณ์ของบ้านเมืองในขณะนี้เรียกว่า สถานการณ์ของรัฐซ้อนรัฐ คือ มีรัฐบาลที่อ้างว่ามาจากการเลือกตั้งของประชาชน ขณะอีกฝ่ายเชื่อว่า อำนาจประชาธิปไตยเป็นของมวลชน และดำเนินการตามมาตรา 3 ของรัฐธรรมนูญเรียกร้องด้วยความสงบมาเผชิญหน้ากันและสามารถทำอะไรได้
“ผมดีใจที่ผู้ใหญ่ของบ้านเมืองที่เป็นรัฐบุคคล เช่น นพ.ประเวศ วสี นายธีรยุทธ บุญมี นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ ก็มาร่วมชี้นำด้วย พวกเราต้องการเสนอแนะ ไม่ใช่ล้มรัฐบาล เพราะไม่มีกำลังที่จะทำได้
ผมมีแต่ความคิด เพราะสงสารประเทศไทยและประชาชน จึงอยากให้ไปคิดต่อว่าแนวคิดนี้มีทางออก แต่ยืนยันว่าไม่ต้องการให้เกิดรัฐประหาร เพราะทหารก็ไม่อยากออกมาอยู่แล้ว จึงไม่ควรไปเรียกร้องเช่นนั้น
ข้อเสนอของรัฐบุคคลไม่ใช่การให้ทหารปฏิวัติตาม ที่หลายฝ่ายระบุ แต่ให้สถาบันทหาร ให้สถาบันศาลนั้นแหละ เป็นผู้รับผิดชอบ สถานการณ์ในไทยขณะนี้เมื่อได้อำนาจรัฐมาแล้ว ทหารกับศาลจะต้องร่วมมือกัน เช่น เป็นองคณะมนตรี คัดเลือกคนดีมาเป็นนายกรัฐมนตรี อาจใช้เวลาภายใน 1 ปี แล้วคืนอำนาจให้ประชาชน ซึ่งประชาชนคงยินดี ขณะที่ผมก็ยินดีหากจะมีใครมาทำให้บ้านเมืองสงบ
ส่วนการคืนอำนาจให้ประชาชน หมายถึง การเลือกตั้งหรือไม่ พล.อ.สายหยุด กล่าวว่า การเลือกตั้งจะมีขึ้นได้ต้องปฏิรูปประเทศก่อน เมื่อได้นายกรัฐมนตรีและรัฐบาลแล้ว ก็มาแก้ไขปฏิรูป กำหนดกฎเกณฑ์การเลือกตั้ง ดำเนินการเลือกตั้ง ให้เป็นที่น่าเชื่อถือ ยอมรับได้
เมื่อถามว่า ทหารออกมาแสดงจุดยืนไม่ปฏิวัติอย่างแน่นอน พล.อ.สายหยุด ระบุว่า ทหารก็ต้องอยู่แบบนี้ ไม่ออกมายุ่งกับการเมือง ซึ่งการที่ทหารจะออกมาเคลื่อนไหว เกิดขึ้นในหลายกรณี คือ มีการเรียกร้อง ดังนั้น การด่าว่ารัฐบาลจะต้องเปลี่ยนมาเป็นการเรียกร้องทหารว่า รัฐบาลไม่สามารถทำอะไรได้แล้ว ด้านอำนาจประชาชนก็สามารถทำได้ส่วนหนึ่ง และเราจะสามารถทำอะไรได้ หากศาลกับทหารเลือกข้างประชาชน
เมื่อถามว่าแล้วประชาชนส่วนหนึ่งที่ออกมาใช้สิทธิตามระบอบประชาธิปไตย โดยการออกมาเลือกตั้ง คณะรัฐบุรุษไม่รับฟังเสียงของคนเหล่านี้บ้างหรือ พล.อ.สายหยุด ตอบว่า “คุณเห็นหรือไม่ว่า เลือกตั้งแล้วได้อะไร การเลือกตั้งครั้งนี้มันเป็นเกมการเมือง ไม่ใช่เป็นไปตามอุดมการณ์ของรัฐธรรมนูญ ซึ่งความคิดผมอาจผิดก็ได้
พร้อมยืนยัน สิ่งที่คณะรัฐบุคคลเสนอ ไม่ได้เป็นการแช่แข็งประเทศ หรือทำให้บ้านเมืองได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจ แต่จะช่วยแก้ไขสิ่งปัญหาที่เป็นการแช่แข็งประเทศอยู่ในขณะนี้ ซึ่งเห็นว่าเป็นทางออก ขอให้ลบเรื่องการเรียกร้องปฏิวัติออกจากหัวได้เลย
ส่วนข้อเสนอเลือกนายกรัฐมนตรีที่เป็นคนดี ตามมาตรา 7 ของรัฐธรรมนูญ ยืนยันไม่ใช่นายกรัฐมนตรีพระราชทาน แต่ประชาชนเลือกกันเองตามข้อเสนอลูกทำดีเพื่อพ่อ ที่ผ่านมาเคยทำมาแล้ว
พร้อมกันนี้ พล.อ.สายหยุด ยังกล่าวทิ้งท้ายไว้ด้วยว่า ข้อเรียกร้องของรัฐบุคคลขณะนี้ แตกต่างจากเหตุการณ์ที่คณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ซึ่งมี พล.ร.อ.สงัด ชลออยู่ เป็นหัวหน้าคณะ ก็เคยเสนอปฏิรูปประเทศเป็นเวลา 4 ปี ก่อนจัดให้เกิดการเลือกตั้ง เหตุการณ์ในครั้งนั้นเป็นการปฏิวัติโดยคณะทหาร โดยอ้างการปฏิรูปประเทศ ซึ่งในขณะนั้นผมไม่ได้เข้าร่วมในการปฏิวัติ แต่ถูกใช้ให้ดำเนินการเรื่องปฏิรูป หากไม่มีผมอยู่การปฏิรูปอาจล้มเหลว”.