“ปริญญา เทวานฤมิตรกุล” เสนอ 3 ทางเลือกแก้ความขัดแย้งและปฏิรูปประเทศไทย ภายใต้กรอบของการเลือกตั้ง 2 ก.พ. 57...

วันที่ 13 ธ.ค. 56 นายปริญญา เทวานฤมิตรกุล รองอธิการบดีฝ่ายกิจการนักศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) กล่าวว่า การหาทางแก้ปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองให้ทุกฝ่ายยอมรับในขณะนี้เป็นเรื่องที่ไม่ง่าย เพราะฝ่ายผู้ชุมนุมต้องการให้มีการปฏิรูปประเทศไทยก่อน แล้วจึงค่อยมีการเลือกตั้ง จึงเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีรักษาการลาออกจากตำแหน่ง ขณะที่ทางฝ่ายรัฐบาล ยืนยันว่า นายกรัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่งไปแล้ว ไม่สามารถลาออกได้ ทำให้ติดขัดกันอยู่ในขณะนี้ แต่เนื่องจากได้ประกาศพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎรและกำหนดวันเลือกตั้งใหม่แล้ว การแก้ไขปัญหาความขัดแย้งและข้อเรียกร้องเพื่อให้มีการปฏิรูปประเทศไทย จึงไม่อาจจะหนีไปจากข้อเท็จจริงที่ว่า การเลือกตั้งจะมีขึ้นในวันที่ 2 ก.พ. 2557

ทั้งนี้ เหตุผลสำคัญที่ฝ่ายผู้ชุมนุมต้องการให้มีการปฏิรูปประเทศไทยก่อนการเลือกตั้ง คงจะด้วยเกรงว่า เลือกตั้งเสร็จแล้ว ทุกอย่างอาจจะกลับไปเป็นเหมือนเดิม รัฐบาลเดิม พรรคการเมืองเดิม นักการเมืองเดิม แต่จริงๆ แล้ว การเมืองไทยนับจากนี้จะไม่มีวันเหมือนเดิมอีกต่อไป เพราะเสียงข้างมากไม่อาจจะทำอะไรตามอำเภอใจได้อีก เนื่องจากประชาชนสามารถถ่วงดุลรัฐบาลและเสียงข้างมากในสภาได้แล้ว ไม่ว่ารัฐบาลจะเป็นพรรคไหน หรือเสียงข้างมากจะเป็นพรรคใด

ดังนั้น ประเด็นสำคัญที่สุดคือ ทำอย่างไรให้รัฐบาลหลังเลือกตั้ง จะต้องดำเนินการปฏิรูปประเทศไทย ซึ่งตนขอเสนอทางเลือกที่จะทำได้ก่อนเลือกตั้งเพื่อให้เกิดผล หลังเลือกตั้ง 2-3 ทางเลือก ดังนี้

ทางเลือกแรก การทำสัญญาประชาคม หรือสัตยาบันพรรคการเมือง ให้พรรคการเมืองทุกพรรคที่ส่งผู้สมัครลงเลือกตั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งพรรคใหญ่ที่สุด 2 พรรค คือ พรรคเพื่อไทยและพรรคประชาธิปัตย์ ลงนามทำสัญญาประชาคม หรือสัตยาบันพรรคการเมือง ที่จะดำเนินการปฏิรูปประเทศไทยหลังเลือกตั้ง โดยให้มีรูปธรรมที่ชัดเจนที่จะดำเนินการได้

...

สำหรับข้อสัญญาประชาคมพรรคการเมืองจะมีอะไรบ้าง ก็ให้นำมาจากข้อสรุปของเวทีประชาคม หรือเวทีสาธารณะ ซึ่งก็ได้มีการดำเนินการอยู่แล้วในขณะนี้ ทำเป็นข้อสัญญาประชาคมให้พรรคการเมืองรับที่จะดำเนินการเมื่อได้รับเลือกตั้ง หรือได้เป็นรัฐบาลแล้ว แต่ถ้าเห็นว่าทางนี้ไม่หนักแน่นพอ ก็อาจใช้ทางเลือกที่สอง หรือทางเลือกที่สาม ดังจะได้กล่าวต่อไป

ทางเลือกสอง การทำประชามติในวันเลือกตั้ง 2 ก.พ. ในต่างประเทศ ทั้งในยุโรปและสหรัฐฯ มักจะใช้วันเลือกตั้งในการทำประชามติ ในเรื่องหนึ่งเรื่องใดควบคู่ไปกับการเลือกตั้ง เนื่องจากประชาชนมาใช้สิทธิเลือกตั้งกันอยู่แล้ว และมีหน่วยเลือกตั้งอยู่แล้วในวันนั้น ในเมื่อเลือกตั้งในวันที่ 2 ก.พ. จึงน่าจะใช้โอกาสนี้ทำประชามติตามรัฐธรรมนูญมาตรา 165 ในเรื่องการปฏิรูปประเทศไทย เรื่องสภาประชาชน หรือเรื่องการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ สุดแท้แต่ว่าจะให้ประชาชนตัดสินในเรื่องใด ซึ่งจะมีผลทำให้รัฐบาล หลังการเลือกตั้งจะต้องผูกพันให้ดำเนินการตามผลของประชามติ สำหรับประเด็นประชามติจะเป็นเรื่องใด ก็อาจจะให้มีเจรจาตกลงกัน หรือมาจากเวทีสาธารณะตามทางเลือกที่หนึ่ง

แต่ทางเลือกที่สองนี้ มีปัญหาตรงที่พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการออกเสียงประชามติ มาตรา 6 (1) กำหนดให้ต้องมีระยะเวลาไม่น้อยกว่า 90 วัน นับจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา ดังนั้น ถ้าจะใช้ทางเลือกนี้ก็จะต้องมีการแก้ไขพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการออกเสียงประชามติ โดยแก้เพียงมาตราเดียวคือ มาตรา 6 (1) ให้การออกเสียงประชามติที่ดำเนินการในวันเลือกตั้ง ยกเว้นไว้ว่าไม่จำเป็นต้องมีระยะเวลาถึง 90 วัน แต่ปัญหาคือสภาผู้แทนราษฎรถูกยุบไปแล้ว จะแก้ไขกฎหมายได้หรือ? คำตอบคือตามรัฐธรรมนูญมีหนทางที่จะทำได้ ส่วนจะทำอย่างไรเป็นเรื่องรายละเอียดที่ยังไม่ขอกล่าวถึงในชั้นนี้

ทางเลือกสาม ประชามติแบบไม่เป็นทางการในวันเลือกตั้ง 2 ก.พ. ถ้าเห็นว่าการแก้ไขพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการออกเสียงประชามติเป็นเรื่องยุ่งยากเกินไป ก็อาจใช้อำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการการเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญมาตรา 236 (8) ในเรื่องการส่งเสริมการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชน ในการสอบถามความคิดเห็นของประชาชนในวันเลือกตั้ง โดยทำหีบเหมือนกับทำประชามติ ถึงแม้จะไม่ใช่ประชามติในทางกฎหมาย แต่สามารถมีผลได้เท่ากันถ้าพรรคการเมืองให้สัตยาบันที่จะยอมรับผลของการออกเสียงของประชาชน

รัฐบาลรักษาการมีเวลาก่อนเลือกตั้งไม่ถึง 2 เดือน จึงไม่ควรไปมุ่งเน้นแต่เพียงเรื่องรัฐบาลรักษาการ แต่ควรมุ่งเน้นไปที่รัฐบาลหลังการเลือกตั้ง ส่วนใครจะเป็นรัฐบาลก็เป็นไปตามการตัดสินของประชาชนเจ้าของประเทศ และหากรัฐบาลหลังการเลือกตั้งไม่ดำเนินการปฏิรูปประเทศไทย ประชาชนไม่ว่าข้างไหน หรือฝ่ายใด ก็จะมาช่วยกันทวงถาม นี่แหละคือ “ประชาธิปไตย” และประเทศไทยก็จะก้าวไปข้างหน้าอีกก้าวหนึ่งอย่างแน่นอน.