นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ อดีต ส.ว.สรรหา ย้อนเกล็ด ยื่นตรง ศาล รธน. เอาผิด “เสธ.อ้าย-น.ต.ประสงค์” ฐานผิด ม.68 พร้อมให้ระงับการจัดชุมนุมขับไล่รัฐบาล...
นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ อดีต ส.ว.สรรหา กล่าวว่าในวันที่ 5 พ.ย.จะใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญมาตรา 68 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 62 ยื่นเรื่องตรงต่อศาลรัฐธรรมนูญ ขอให้วินิจฉัยกรณีบุคคลหรือพรรคการเมือง กระทำการอันเป็นการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข สืบเนื่องจากกรณี พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ ผู้ถูกร้องที่ 1 ในฐานะประธานองค์การพิทักษ์สยาม นัดชุมนุมใหญ่ที่สนามม้านางเลิ้งเมื่อวันที่ 28 ต.ค. โดยมีการกล่าวปราศรัยและให้สัมภาษณ์ทั้งก่อนหน้าและในวันที่ชุมนุม เข้าลักษณะขัดรัฐธรรมนูญชัดเจน และเข้าข่ายความผิดฐานเป็นกบฏ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 113 ต้องระวางโทษประหารชีวิต หรือจำคุกตลอดชีวิต
ขณะที่ น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ ผู้ถูกร้องที่ 2 ที่ให้สัมภาษณ์ยอมรับว่า มาร่วมชุมนุมตามคำเชิญของพล.อ.บุญเลิศ ถือว่าเข้าข่ายตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83 ที่บัญญัติว่า ในกรณีความผิดใดเกิดขึ้นโดยการกระทำของบุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไป ผู้ที่ได้ร่วมกระทำความผิดด้วยกันนั้นเป็นตัวการฯ
นายเรืองไกร กล่าวต่อว่า การกระทำของ น.ต.ประสงค์ จึงเข้าลักษณะเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพร่วมกับ พล.อ.บุญเลิศ เพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามความในรัฐธรรมนูญมาตรา 68 และเข้าข่ายกระทำความผิดฐานเป็นกบฏตามความในประมวลกฎหมายอาญามาตรา 113 (2)
นอกจากนี้การประกาศนัดชุมนุมใหญ่อีกครั้งโดยมีวัตถุประสงค์คือ ต้องขับไล่รัฐบาลนี้ออกนอกประเทศ ถ้าไม่สามารถนำรัฐบาลนี้ออกจากประเทศได้ จะไม่เลิกการชุมนุม หรือต้องการให้รัฐบาลลาออกหรือยุบสภา แต่ไม่ต้องเลือกตั้งใหม่ ให้ตั้งคณะทำงานโดยเป็นรูปแบบคณะปฏิวัติโดยประชาชนมาบริหาร ให้นักการเมืองยุติบทบาทก่อน ย่อมแสดงให้เห็นได้ว่า พล.อ.บุญเลิศ มีการเตรียมการเพื่อหยุดการทำงานของรัฐบาลอย่างเด็ดขาด จึงเข้าลักษณะกระทำผิดอย่างแจ้งชัด และจะเป็นการสร้างระบอบการปกครองอื่นในลักษณะสภาประชาชนขึ้นมา ซึ่งไม่ใช่ระบอบการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 3 เท่ากับว่าจงใจจะละเมิดองค์พระมหากษัตริย์ตามความในรัฐธรรมนูญมาตรา 8
นายเรืองไกร กล่าวต่อว่า พล.อ.บุญเลิศ เคยมีประวัติ พฤติการณ์ หรือการกระทำที่เข้าลักษณะล้มล้างการปกครองมาก่อนในสมัยรัฐบาล นายธานินทร์ กรัยวิเชียร ดังนั้นในฐานะเป็นผู้ทราบการกระทำดังกล่าว ย่อมมีสิทธิและขอใช้สิทธิยื่นคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสั่งการให้ พล.อ.บุญเลิศ และ น.ต.ประสงค์ เลิกกระทำการนัดชุมนุมครั้งต่อไป ซึ่งอ้างว่าจะเกิดขึ้นในปลายเดือน พ.ย. ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งการให้ผู้ที่เกี่ยวข้องกับผู้ถูกร้องทั้ง 2 เลิกกระทำการนัดชุมนุมด้วยเช่นกัน และหากพบว่าผู้เกี่ยวข้องเป็นพรรคการเมืองใด ขอให้ดำเนินการวินิจฉัยสั่งการหรือมีคำสั่งตามรัฐธรรมนูญมาตรา 68 วรรคสาม และวรรคสี่ด้วย
หากศาลเห็นว่าการเตรียมการชุมนุมเพื่อล้มรัฐบาลหรือขับไล่รัฐบาลปัจจุบันออกนอกประเทศของผู้ถูกร้องทั้ง 2 เป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ ที่มิได้เป็นการชุมนุมหรือกระทำการอันฝ่าฝืนบทบัญญัติมาตรา 68 วรรคหนึ่ง ขอให้พิจารณายกคำร้องนี้ อันจะได้เกิดบรรทัดฐานหรือแนวทางปฏิบัติต่อไปว่า การชุมนุมในลักษณะดังกล่าวจะเกิดขึ้นได้ต่อไป ไม่ว่าด้วยบุคคลกลุ่มใดๆ ก็ตาม และหากการชุมนุมดังกล่าวสำเร็จผล ประเทศไทยก็จะมีการปกครองแบบสภาประชาชน ซึ่งจะไม่ใช่การปกครองตามรัฐธรรมนูญมาตรา 3 อีกต่อไป
กรณีดังกล่าวจึงเป็นเรื่องร้ายแรงที่มีผลกระทบต่อสถาบันและความมั่นคงของชาติ จึงขอให้ศาลรัฐธรรมนูญรีบดำเนินการตามอำนาจในรัฐธรรมนูญมาตรา 68 วรรคสอง โดยเร็วที่สุด
...