เริ่มจากเรื่องเล็กให้ขยายวงกว้าง เพียงเพราะต้องการให้เป็นเรื่องของมวลชน จากกรณีที่กลุ่มคนเสื้อหลากสี และกลุ่มมวลชนคนเสื้อแดงที่ต้องการไปให้กำลังใจคนของตนในแต่ละฝ่าย เหตุจากคลิปหญิงสาวนิรนามบุกด่า นางดารุณี กฤตบุญญาลัย เผยแพร่ผ่านเว็บไซต์ยูทูบกระจายว่อนเน็ต ซึ่งภายหลังนางดารุณี ได้เข้าไปแจ้งกองปราบให้หาตัวหญิงสาวคนที่ด่าตนในคลิปมาดำเนินคดี จากนั้นก็ได้มีการรับลูกจากกองปราบในการติดตามหาตัวผู้ที่อยู่ในคลิปดังกล่าวมาให้ปากคำ

เหตุการณ์น้ำผึ้งหยดเดียว ยังดำเนินต่อไปในการขยายวงมากขึ้น จากการประกาศของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) ที่บอกว่าหากสาวนิรนามคนดังกล่าว ต้องการที่จะให้ช่วยเหลือในเรื่องของคดีความ ก็พร้อมที่จะดำเนินการให้ในทันที โดยการออกตัวของพันธมิตรฯ ทำให้ดูเหมือนเป็นการตอกย้ำถึงเหตุการณ์ว่าเป็นเรื่องของการเมืองโดยแท้ ไม่ใช่เกิดจากเหตุความไม่พอใจส่วนตน ทำให้ความขัดแย้งยกระดับขึ้นไปอีกในการหมิ่นเหม่ที่จะส่อเค้าความรุนแรง

...

และก็ไม่รู้เป็นอย่างไร เมื่อถึงเวลานัด วันที่ 25 ก.ย. ที่สาวนิรนามจะต้องมาให้ปากคำกับกองปราบตามนัดหมายนั้น ก็ได้มีกลุ่มกองเชียร์ทั้งสองฝ่ายทั้งหลากสี เสื้อเหลือง และกลุ่มคนเสื้อแดง ต่างมาให้กำลังใจในคนของตนเองทั้งสองฝ่ายอย่างมิได้นัดหมายกัน อาจจะเป็นเพราะเรื่องของโซเชียลมีเดียที่เป็นปากต่อปาก ทำให้เกิดการชักชวนในกลุ่มของตนเองในการมาให้กำลังใจ

จนสุดท้ายเหตุการณ์ทั้งสองฝ่ายมาประจันหน้าก็ได้เกิดขึ้นอย่างที่คาดไว้ แต่ไม่มีใครนึกถึงว่าจะมีคนเยอะมากขนาดนั้น โดยความพร้อมของเจ้าหน้าที่ตำรวจเองก็มีการเตรียมพร้อมเพียงบางส่วน แต่ยังไม่ดีมากนักเมื่อเทียบกับเรื่องปริมาณ ทำให้เหตุการณ์บานปลายออกไปจนเป็นจลาจล โดยแต่ละฝ่ายของกองเชียร์ที่มาก็พกอารมณ์มาด้วยล้วนๆ อีกทั้งมวลชนที่ขาดแกนนำทั้งสองฝ่าย ย่อมพร้อมที่จะเกิดความรุนแรงและไร้การควบคุมได้เสมอ

เมื่อถามจับอาการไปยังหัวขบวนอย่าง นางธิดา ถาวรเศรษฐ์ ประธานกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ถึงเหตุการณ์การปะทะกันที่เกิดขึ้นนั้น นางธิดา ได้กล่าวกับทีมข่าวไทยรัฐออนไลน์ ยืนยันว่า กรณีการปะทะกันระหว่างกลุ่มคนเสื้อเหลืองกับคนเสื้อแดง จนมีผู้บาดเจ็บ ศีรษะแตกจำนวน 1 ราย ที่บริเวณหน้ากองบังคับการตำรวจปราบปรามนั้น ตัวเองไม่รู้เรื่อง และไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง อย่างที่มีกระแสข่าว รวมทั้งไม่ได้เป็นคนสั่งให้กลุ่มคนเสื้อแดงเดินทางไปหน้ากองปราบปรามวันนี้ ส่วนตัวแล้วเชื่อว่า ผู้ชุมนุมเดินทางไปกันเอง แต่ตนเห็นว่าเพราะเรื่องไม่เป็นเรื่อง ต้นเหตุเกิดจากมีผู้หญิง 1 คนไปโจมตี แล้วก็มีคนจงใจพยายามจะขยายให้เป็นเรื่องใหญ่ ก็แค่นั้นเอง

ประธาน นปช.เองก็ยังออกอาการไม่รับลูกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่า ไม่ใช่เกิดจากมติแกนนำคนไหน แต่กลุ่มคนเสื้อแดงเขาไปให้กำลังใจกันเองเท่านั้น  จึงไม่น่าแปลกใจว่า การเคลื่อนไหวที่เกิดความรุนแรงนี้จะเกิดขึ้นอย่างไร้หัวขบวนในการควบคุม

ขณะที่ทาง พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รมว.กลาโหม ได้ให้ความเห็นถึงการที่กลุ่มผู้ชุมนุมเสื้อแดงและเสื้อเหลืองปะทะหน้ากองบังคับการกองปราบปราม โดย พล.อ.อ.สุกำพล กล่าวว่า อย่ามองในแง่ร้าย  การปะทะกันเพียงนิดเดียวแต่กลับมองเป็นเรื่องใหญ่ เรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวกัน ในส่วนของเสื้อแดงเราไม่ได้ส่งคนไป แต่เขาไปกันเอง และปะทะกันเล็กน้อยแล้วเลิกกันไป อย่าไปมองเป็นเรื่องใหญ่ ถ้ามองอย่างนี้ประเทศไทยไม่เจริญถึงขนาดนี้หรอก ขอให้มองให้ดีกว่านี้ อย่ามองว่า จะเป็นน้ำผึ้งหยดเดียว เพราะตีกันจบไปแล้ว ขอให้มองในแง่ดีบ้าง ถ้ามองในไม่ดีก็จะเป็นอย่างนี้ ถ้ามองในแง่ดีอย่างตนก็สบายใจ

โดยการให้ความเห็นผู้ใหญ่ที่เป็นถึง รมว.กลาโหม ว่าเรื่องการปะทะกันเป็นเรื่องเล็กน้อยนั้น ฟังแล้วดูไม่น่าจะสบายใจ เนื่องจากความเสียหายที่ดูรุนแรงมาก ขนาดเท่าจลาจลย่อมๆ ถ้าไม่มีการควบคุมให้ดี ก็มีหวังในอนาคตอาจจะมีการเสียชีวิตได้ แล้วค่อยออกมาบอกว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น

แค่น้ำผึ้งหยดเดียวในวันนี้ เหตุการณ์เลยเถิดจนเกือบจะเข่นฆ่ากันตาย เพราะเลือดไทยด้วยกัน แต่ต่างกันเพียงอุดมการณ์ทางการเมือง อีกทั้งยังไม่ได้เกิดจากการที่ทำความผิดอะไรทั้งนั้น ทั้งนี้ จะโทษกลุ่มคนที่ยั่วยุจนเกิดเหตุความรุนแรงไม่ได้เพียงฝ่ายเดียว ต้องโทษไปถึงผู้รักษากฎหมาย อย่าง ตำรวจ ที่ขาดประสิทธิภาพที่จะห้ามอย่างชัดเจนจนเกิดเหตุการณ์บานปลายขึ้น

จากการทำหน้าที่ ที่มีการเตรียมการอย่างไม่เพียงพอและแข็งขัน แม้จะบอกว่าเตรียมกำลังกว่า 2 กองร้อย แต่เมื่อเทียบกับกลุ่มผู้ชุมนุมที่รวมกันแล้วจนมีจำนวนหลักพัน ก็อยู่เหนือความสามารถที่จะควบคุมได้อย่างรัดกุม แม้ว่าจะเพิ่งผ่านการซักซ้อมจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของการทำหน้าที่รักษาความปลอดภัยการชุมนุมมา แต่เมื่อเจอของจริงในการเผชิญหน้า เจ้าหน้าที่เองก็เหมือนจะหมดปัญญาในการจัดการปัญหาอย่างสิ้นเชิง

การโทษเรื่องการรักษาความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่ เพราะในเบื้องต้นในบรรยากาศของการชุมนุมที่เกิดการระแวงกันและกันว่า จะเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เจ้าหน้าที่เองก็ต้องทำงานอย่างเข้มงวดไม่ให้แต่ละฝ่ายคิดกันไปว่ามีการเข้าข้างกันอย่างออกนอกหน้ามากนัก เพราะจะทำให้หมดความน่าเชื่อถือต่อการทำงาน  และจะส่งผลกระทบให้การจัดการเป็นไปด้วยความลำบากเหมือน เช่น การจลาจลหน้ากองปราบครั้งนี้

เหตุการณ์วุ่นวายที่เกิดขึ้น ยังเป็นการตอกย้ำถึงความขัดแย้งระหว่างมวลชนทั้ง 2 ฝ่าย ที่ยังมีระดับความรุนแรงจนน่าเป็นห่วง เหมือนกับที่ รายงาน คอป.  ได้มีการสรุปออกมา ที่จะต้องเร่งแก้ไข ก่อนที่จะลุกลามบานปลายไปมากกว่านี้ ทั้งหมดจึงต้องขึ้นอยู่กับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ทั้ง เสื้อเหลือง เสื้อแดง เสื้อหลากสี หรือแม้แต่ 2 พรรคการเมืองคู่แข่งสำคัญ ทั้ง เพื่อไทย-ประชาธิปัตย์ ที่จะต้องออกแรงช่วยกัน ไม่ใช่มัวแต่ ชิงดีชิงเด่น เหมือนอย่างที่ผ่านมา.