''โอ๊ค'' โพสต์เฟซบุ๊ก ออกตัว ท้า กทม.พร้อมทดสอบระบายน้ำหรือยัง แถมมีเกทับ อ้างรัฐบาลพร้อมเดิมพันแล้ว เย้ย ปล่อยน้ำแค่ 30% ยังไม่กล้า ชี้ หากท่วมอีก ปชช.คงไม่เอาทั้งคู่
เมื่อวันที่ 4 ก.ย.นายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชาย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โพสต์เฟซบุ๊ก Oak Panthongtae Shinawatra เย้ย ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่า กทม.และพรรค ปชป. ทำไมต้องกลัวการทดสอบการระบายน้ำวันที่ 5 และ 7 ก.ย.นี้ของรัฐบาลด้วย เพราะขนาดปล่อยน้ำเพียง 30% กทม.ยังกลัวขนาดนี้ หากเจอของจริงเหมือนกับเมื่อปีที่แล้วแบบเต็ม 100% กทม.ไม่ต้องจมบาดาลหรือ? แถมยังออกตัวให้ฝ่ายรัฐบาลว่า พร้อมแล้วที่จะทำการทดลองระบายน้ำ แล้ว กทม.ล่ะพร้อมหรือยัง?
เห็นข่าวที่ทีมงานของผู้ว่า กทม. ออกมาคัดค้านการทดลองปล่อยน้ำเข้ากรุงเทพฯ เพื่อทดสอบประสิทธิภาพของระบบการระบายน้ำของกทม. ทั้งๆ ที่การทดลองครั้งนี้เป็นการทดลองเพียง 30% ของขีดความสามารถแล้ว ผมเกรงว่าการแก้ปัญหาน้ำท่วมอย่างยั่งยืนให้กับชาว กทม. จะไกลเกินฝันครับ คราวที่แล้วผมก็กลับเข้าจันทร์ส่องหล้าไม่ได้เป็นเดือน ครั้งนี้เกิดความไม่มั่นใจอีกแล้ว จึงเกิดคำถามถึงผู้เกี่ยวข้องเยอะเลย ในโพสต์นี้ขอถามทางผู้บริหาร กทม.สัก 2 ข้อก่อนครับ
1) ถ้าปล่อยน้ำเพียงแค่ 30% ภายใต้ภาวะที่ควบคุมได้ ทาง กทม. ยังไม่มีความมั่นใจว่าน้ำจะท่วมกรุงเทพฯ หรือเปล่า แล้วถ้าเจอสถานการณ์จริงที่เกิดภาวะฝนตกแบบไม่ลืมหูลืมตา บวกกับน้ำเหนือ+น้ำหนุน ตามธรรมชาติที่อยู่เหนือการควบคุมแล้ว กรุงเทพฯ จะรอดจากการเป็นเมืองหลวงใต้บาดาลเช่นเดียวกับปีที่แล้วหรือไม่
2) ถ้าปล่อยน้ำเพียงแค่ 30% ก็มีปัญหาแล้วการโฆษณาที่ให้ความหวังกับคนกรุงเทพฯ เช่นในรูปที่ระบุว่า "อุโมงค์ระบายน้ำขนาดยักษ์ เพื่อคนดอนเมือง, หลักสี่และจตุจักร พร้อม...เพื่อคนกรุงเทพฯ ป้องกันและแก้ปัญหาน้ำท่วมอย่างยั่งยืน" และในรูปที่มีคนหน้าเหมือนกับท่าน ส.ส.ชูวิทย์ฯ นั่งเท้าแช่น้ำทำหน้าเซ็งอยู่นี้ ถือเป็นการโฆษณาชวนเชื่อเกินความเป็นจริงหรือไม่ และจะรับประกันได้ว่า คนดอนเมือง, หลักสี่และจตุจักร จะรอดจากการจมน้ำหรือไม่
เนื่องจากครั้งนี้ ฝ่ายรัฐบาลเป็นผู้เสนอให้ทดสอบและทาง กทม.เป็นฝ่ายปฏิเสธ ผมจึงถือว่าการเสนอครั้งนี้เสมือนกับการเทียบเชิญจาก รมต.ปลอดประสพ ไปยังผู้ว่าฯ กทม. ประมาณว่า "ปลอดพร้อมแล้ว ผู้ว่าฯ กทม.หละพร้อมหรือยัง" ซึ่งถ้าจะให้เป็นประโยชน์กับชาว กทม.แล้ว ทั้ง 2 ฝ่ายน่าจะร่วมกันทดลองดูแล้วก็ร่วมมือช่วยกันแก้ไขข้อขัดข้องต่างๆ ก็น่าจะผ่านไปได้ด้วยดี
แต่ถ้าทาง กทม.กับรัฐบาล ยังกลัวอีกฝ่ายจะได้หน้าได้คะแนน ไม่ร่วมมือกันอย่างจริงจัง โดยเอาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนเป็นตัวประกัน ไม่ยอมสามัคคีกันเพียงเพราะเผอิญว่าเป็นการเมืองคนละขั้ว และชนะการเลือกตั้งกันคนละครั้ง โดยพรรค ปชป.ชนะในระดับท้องถิ่น และเพื่อไทยชนะในระดับชาติ ทำให้คุยกันคนละภาษาแบบนี้
ถ้าน้ำมาอีกทีแล้วบ้านเค้าน้ำท่วมอีก เค้าก็ไม่เอากับท่านด้วยทั้งนั้นแหละครับ
เห็นข่าวที่ทีมงานของผู้ว่า กทม. ออกมาคัดค้านการทดลองปล่อยน้ำเข้ากรุงเทพฯ เพื่อทดสอบประสิทธิภาพของระบบการระบายน้ำของกทม. ทั้งๆ ที่การทดลองครั้งนี้เป็นการทดลองเพียง 30% ของขีดความสามารถแล้ว ผมเกรงว่าการแก้ปัญหาน้ำท่วมอย่างยั่งยืนให้กับชาว กทม. จะไกลเกินฝันครับ คราวที่แล้วผมก็กลับเข้าจันทร์ส่องหล้าไม่ได้เป็นเดือน ครั้งนี้เกิดความไม่มั่นใจอีกแล้ว จึงเกิดคำถามถึงผู้เกี่ยวข้องเยอะเลย ในโพสต์นี้ขอถามทางผู้บริหาร กทม.สัก 2 ข้อก่อนครับ
1) ถ้าปล่อยน้ำเพียงแค่ 30% ภายใต้ภาวะที่ควบคุมได้ ทาง กทม. ยังไม่มีความมั่นใจว่าน้ำจะท่วมกรุงเทพฯ หรือเปล่า แล้วถ้าเจอสถานการณ์จริงที่เกิดภาวะฝนตกแบบไม่ลืมหูลืมตา บวกกับน้ำเหนือ+น้ำหนุน ตามธรรมชาติที่อยู่เหนือการควบคุมแล้ว กรุงเทพฯ จะรอดจากการเป็นเมืองหลวงใต้บาดาลเช่นเดียวกับปีที่แล้วหรือไม่
2) ถ้าปล่อยน้ำเพียงแค่ 30% ก็มีปัญหาแล้วการโฆษณาที่ให้ความหวังกับคนกรุงเทพฯ เช่นในรูปที่ระบุว่า "อุโมงค์ระบายน้ำขนาดยักษ์ เพื่อคนดอนเมือง, หลักสี่และจตุจักร พร้อม...เพื่อคนกรุงเทพฯ ป้องกันและแก้ปัญหาน้ำท่วมอย่างยั่งยืน" และในรูปที่มีคนหน้าเหมือนกับท่าน ส.ส.ชูวิทย์ฯ นั่งเท้าแช่น้ำทำหน้าเซ็งอยู่นี้ ถือเป็นการโฆษณาชวนเชื่อเกินความเป็นจริงหรือไม่ และจะรับประกันได้ว่า คนดอนเมือง, หลักสี่และจตุจักร จะรอดจากการจมน้ำหรือไม่
เนื่องจากครั้งนี้ ฝ่ายรัฐบาลเป็นผู้เสนอให้ทดสอบและทาง กทม.เป็นฝ่ายปฏิเสธ ผมจึงถือว่าการเสนอครั้งนี้เสมือนกับการเทียบเชิญจาก รมต.ปลอดประสพ ไปยังผู้ว่าฯ กทม. ประมาณว่า "ปลอดพร้อมแล้ว ผู้ว่าฯ กทม.หละพร้อมหรือยัง" ซึ่งถ้าจะให้เป็นประโยชน์กับชาว กทม.แล้ว ทั้ง 2 ฝ่ายน่าจะร่วมกันทดลองดูแล้วก็ร่วมมือช่วยกันแก้ไขข้อขัดข้องต่างๆ ก็น่าจะผ่านไปได้ด้วยดี
แต่ถ้าทาง กทม.กับรัฐบาล ยังกลัวอีกฝ่ายจะได้หน้าได้คะแนน ไม่ร่วมมือกันอย่างจริงจัง โดยเอาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนเป็นตัวประกัน ไม่ยอมสามัคคีกันเพียงเพราะเผอิญว่าเป็นการเมืองคนละขั้ว และชนะการเลือกตั้งกันคนละครั้ง โดยพรรค ปชป.ชนะในระดับท้องถิ่น และเพื่อไทยชนะในระดับชาติ ทำให้คุยกันคนละภาษาแบบนี้
ถ้าน้ำมาอีกทีแล้วบ้านเค้าน้ำท่วมอีก เค้าก็ไม่เอากับท่านด้วยทั้งนั้นแหละครับ
...
...