"ประยุทธ์ จันทร์โอชา" ผบ.ทบ.สวนหมัด 'เฉลิม' ทหารในคลิป ที่ดีเอสไอเรียกสอบ ไม่ได้ใช้ "สไนเปอร์" ชี้ ถ้าไม่รู้ อย่าพูดดีกว่า วอน เห็นใจเจ้าหน้าที่ที่เสียชีวิตด้วย ย้ำไม่ควรพูดถึง เพราะคดียังไม่สิ้นสุด...

วันที่ 16 ส.ค. ที่สโมสรทหารบก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก กล่าวถึงกรณีที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ออกมาเปิดเผยผลการสอบสวนคดีการสลายการชุมนุมเมื่อปี 2553 ว่า การเสียชีวิตของประชาชนเกิดการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐว่า ทุกอย่างเป็นเรื่องของกระบวนการยุติธรรม ถ้ายังไม่ยุติก็ไม่สมควรออกมาพูดจา ซึ่งได้ขอร้องผ่าน นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ ไปแล้ว ซึ่งท่านรับปากว่าจะดูให้ และท่านได้ขอโทษ รวมถึงบอกว่าจะไปบอก พ.ต.อ.ประเวศน์ มูลประมุข รองอธิบดีดีเอสไอ ให้ ซึ่งทางรัฐบาลตอบกลับมาว่าจะให้ลดเรื่องนี้ลงไป

ทั้งนี้ ขอร้องกันให้หยุดพูด เพราะคดียังไม่สิ้นสุด จะไปทำอะไรกัน ตนไม่รู้ แต่ทั้งหมดมีผู้เสียหายทั้งสองฝ่าย ต้องเห็นใจตน เพราะตนดูแลลูกน้อง และครอบครัว ลูก เมียเขา ขอให้เข้าใจแค่นี้ ตนไม่ได้ต่อต้านใคร แต่ต้องเห็นใจ เพราะมีเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ ประชาชน ที่เสียชีวิต และชัดเจนว่าไม่ใช่เจ้าหน้าที่ยิง เมื่อไม่ใช่เจ้าหน้าที่ยิง แล้วใครยิง ก็ต้องไปหากันมา ถ้าจะพูดขอให้พูดทั้ง 2 ทาง ขอให้พูดในส่วนของเจ้าหน้าที่ด้วยว่าเขาบาดเจ็บและเสียชีวิตจากใคร ตนไม่อยากไปรื้อฟื้น เพราะตนเป็นผู้บังคับบัญชา รู้ว่า อะไรควรพูด อะไรไม่ควรพูด

เมื่อถามถึงกรณีที่ทางดีเอสไอจะเรียกทหารสไนเปอร์ ที่อยู่ในคลิปมาให้ปากคำ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวย้อนถามว่า สไนเปอร์อะไร ใครเป็นคนใช้สไนเปอร์ แล้วรู้หรือไม่ว่า สไนเปอร์เป็นใคร ซึ่งในรูปที่ปรากฏเป็นทหารที่เขาติดกล้องเฉยๆ และกล้องตัวนั้นและปืนตัวนั้นไม่ใช่แบบสไนเปอร์ ถ้าพูดแล้วไม่รู้ อย่าพูดดีกว่า แต่สิ่งที่ใช้เพื่อใช้ระวังป้องกัน ซึ่งในตลาดนัดก็มีขายที่ใช้สำหรับยิงนก ไม่ใช่สไนเปอร์ อย่าพูดเรื่อยเปื่อย

...

เมื่อถามถึงกรณีที่คณะกรรมาธิการทหาร (กมธ.ทหาร) สภาผู้แทนราษฎร ระบุว่า ในปี 53 มีการเบิกกระสุนมา 3 พันนัด ใช้ไป 800 นัด อยากทราบว่า กระสุนที่เหลือหายไปไหน พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า กระสุนที่เขาเบิกมา เมื่อเหลือเขาก็จะส่งคืน นอกเหนือจากนั้นใช้ฝึกหัด และจำหน่ายต่อไป ไม่เห็นว่าจะต้องไปยิง อยากถามว่า ถ้าเขาเบิกไป 3 พันนัด ยิงไป 300 นัด ขาดไป 2700 นัด แสดงว่าต้องมีคนตาย 2700 คนหรือไม่ ถามว่าคนตายอยู่ที่ไหน มีใครบอกว่า ทหารเอาปืนไปยิงคน สื่อไปเอามาจากไหน ต้องไปถามข้อมูลจากคณะกรรมาธิการทหาร เพราะตนถามลูกน้อง เขาบอกว่าไม่ได้ยิงใครสักคน มีแต่โดนยิง

ด้าน พ.อ.วินธัย สุวารี รองโฆษกกองทัพบก กล่าวว่า เหตุการณ์ความรุนแรงทางการเมืองช่วงเดือนเมษายน-พฤษภาคม ปี 2553 ได้มีความพยายามของบุคคลบางกลุ่ม อาศัยเหตุการณ์สร้างความรุนแรงมากขึ้นตามลับดับ รวมถึงการใช้อาวุธสงครามสร้างความเสียหายแก่บุคคลและทรัพย์สิน เป็นเหตุให้เจ้าหน้าที่ทหารและประชาชนเสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก อีกทั้งยังมีการปล้นอาวุธปืนของเจ้าหน้าที่ทหารไปหลายสิบกระบอก และพบว่าปืนที่หายไปหลายกระบอก มีส่วนร่วมในหลายๆ เหตุการณ์ด้วย ซึ่งการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ทหารในช่วงนั้น ได้ใช้ความพยายามปฏิบัติตามที่กฎหมายกำหนดแบบเป็นขั้นเป็นตอน ด้วยมาตรการจากเบาไปหาหนัก และเป็นไปตามหลักสากล มิได้มีเจตนาจะทำให้ผู้ใดผู้หนึ่งได้รับอันตราย แต่ทางตรงข้ามกลุ่มผู้ที่ไม่หวังดีที่แฝงตัวอยู่ในการชุมนุม กลับมีความพยายามเพิ่มความรุนแรงด้วยวิธีการต่างๆ นานา

พ.อ.วินธัย กล่าวว่า สำหรับการไต่สวนคดีชันสูตรพลิกศพที่มีการดำเนินการอยู่ในขณะนี้ยังเป็นขั้นตอน การแสวงหาพยานหลักฐานและข้อเท็จจริงที่ยังไม่มีการกล่าวหาผู้ที่กระทำความผิด การที่มีพยานบางส่วน และพยายามนำเสนอข่าวของบางสื่อ โดยได้อ้างถึงว่าเจ้าพนักงานสอบสวนมีหลักฐานที่ทำให้เชื่อว่าการเสียชีวิต เกิดจากการกระทำของเจ้าหน้าที่นั้น ในข้อเท็จจริงยังต้องอาศัยองค์ประกอบอื่นๆ เช่น พยานทางด้านนิติวิทยาศาสตร์ พยานสิ่งแวดล้อม และพยานอื่นๆ เข้ามาประกอบด้วย ซึ่งเชื่อว่าพนักงานสอบสวนน่าจะเข้าใจเรื่องนี้เป็นอย่างดี และดำเนินการอย่างถูกต้องและระมัดระวัง มิฉะนั้น อาจส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของเจ้าหน้าที่ทหารอย่างไม่เป็นธรรม

สำหรับข้อสังเกตในปัจจุบัน ในคดีเหตุการณ์เดียวกันที่เจ้าหน้าที่ได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติภารกิจ และถูกทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต น่าจะเป็นคดีที่มีการดำเนินการควบคู่กัน ทั้งนี้ มีหลักฐานปรากฏทั้งที่เป็นภาพชัดเจนอยู่ในสื่อสาธารณะ ซึ่งสามารถบันทึกไว้ได้ในหลายๆ เหตุการณ์ด้วยกัน และพยานวัตถุซึ่งได้มีการส่งมอบให้กับพนักงานสอบสวนหลังจากเหตุการณ์ยุติ แต่จากการติดตามสอบถามกลับไม่พบความคืบหน้าแต่อย่างใด

"อย่างไรก็ตาม กองทัพบกเชื่อมั่นว่าผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในกระบวนการยุติธรรมจะทำ หน้าที่ด้วยความบริสุทธิ์ยุติธรรม ปราศจากอคติใดๆ รวมทั้งระมัดระวังถึงผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นกับบุคคลและหน่วยงาน ด้วยความรับผิดชอบในหน้าที่อย่างแท้จริง" รองโฆษกกองทัพบก กล่าว.