น่าจับตาสถานการณ์การเมือง เชื่อแน่ว่าวันที่ 5-6 ก.ค.ที่ศาล รธน.นัดไต่สวนคดี จะต้องมีมวลชน นปช.ไปแสดงพลังแน่ เพียงแต่ว่าจะมากหรือน้อยเท่านั้น ก็ขึ้นอยู่ที่ นปช.กับพรรคเพื่อไทย จะส่งสัญญาณในรูปแบบไหนกับกลุ่มมวลชนที่สนับสนุนตนเอง จะกลับกลายเป็นยิ่งตอกย้ำให้สังคมเชื่อว่ามีการคุกคามการทำหน้าที่ของศาล ตามที่สำนักงานศาล รธน.ยื่นถอนประกันตัวคดีก่อการร้าย นายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำ นปช.หรือไม่?
เมื่อวานที่ผ่านมาปรากฏสัญญาณเข้มๆ จากพรรคเพื่อไทย โดยนายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ ออกมาแถลง...
"พรรคมีความพร้อมไปชี้แจง โดยจะส่งนายยงยุทธ วิชัยดิษฐ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย และสมาชิกคนอื่นๆไปชี้แจงต่อศาลรัฐธรรมนูญ มั่นใจว่าชี้แจงได้ ยืนยัน ไม่มีเจตนาล้มล้างการปกครองตามที่ฝ่ายผู้ร้องกล่าวหา เชื่อว่าศาลรัฐธรรมนูญจะให้ความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย เรื่องนี้คนไทย 65 ล้านคน จับตาอยู่ หากการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญถูกต้อง จะนำไปสู่ความปรองดอง แต่หากวินิจฉัยค้านสายตา ความขัดแย้งจะยิ่งเพิ่มขึ้น นำไปสู่ความวุ่นวายตามมา"
โฆษกเพื่อไทย ยังกล่าวอีกว่า ส่วนที่ผู้ร้อง อ้างนายสมคิด เลิศไพฑูรย์ อธิการบดี ม.ธรรมศาสตร์ และ นายอานันท์ ปันยารชุน อดีตนายกรัฐมนตรี มาเป็นพยานนั้นเป็นสิ่งที่ทำได้ แต่แปลกใจว่า คนระดับนายอานันท์ มีคุณงามความดี เหตุใดจึงลงมาเป็นพยานในภาวะที่ประชาชนมองว่า มีความขัดแย้งของสองฝ่าย ทำให้เห็นว่าเป็นเรื่องไม่ปกติ อยากให้นายอานันท์คิดให้รอบคอบ และอยากเรียกร้องให้นายอานันท์ถอนตัวจากการเป็นพยาน
...
ด้าน นายภูมิธรรม เวชยชัย ที่ปรึกษาหัวหน้าพรรค และรักษาการผู้อำนวยการพรรคหมาดๆ กล่าวว่า วันที่ 5-6 ก.ค.ที่จะถึงนี้ อาจเป็นวันที่กำหนดบรรยากาศสถานการณ์บ้านเมืองของประเทศไทยได้ เนื่องจากทุกอย่างดำเนินมาถึงจุดที่อาจต้องตัดสินใจกันว่า เราจะเลือกทางเดินที่ยึดมั่นในหลักการของระบอบประชาธิปไตยที่ชัดเจน หรือจะเดินไปตามหลักตามธง หรือตามความรู้สึกที่บางคนวิพากษ์ วิจารณ์ ส่วนตัวมองว่า 5-6 ปีที่ผ่านมา ประเทศชาติเสียหายไปมาก ซึ่งคงมีแต่กฎเกณฑ์และหลักเกณฑ์ที่เป็นประชาธิปไตยที่ถูกต้องเท่านั้นที่จะพาบ้านเมืองให้กลับเข้าสู่ภาวะปกติ และความสงบสุข
ก็หวังว่าการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ในวันที่ 5-6 ก.ค.นี้ เชื่อว่าทุกคนจะพยายามนำพาบ้านเมืองให้กลับสู่ภาวะปกติ หวังว่าคงจะออกไปในทิศทางที่ดี ไม่เช่นนั้นบ้านเมืองอาจจะเกิดบรรยากาศของความว้าเหว่ ไม่มีความหวังให้กับประชาชนเลย
"ส่วนตัวก็ได้แต่เพียงคาดหวังว่าตุลาการศาลรัฐธรรมนูญท่านจะไตร่ตรองด้วยดี และอยากให้ท่านประเมินให้รอบด้าน ซึ่งเชื่อว่าท่านทราบดีแล้วว่าอารมณ์ความรู้สึกคนส่วนใหญ่ของประเทศเป็นไปในทิศทางไหน ซึ่งตนเองยังไม่กล้าคิดถึงสถานการณ์บ้านเมือง ในกรณีที่การวินิจฉัยออกมาในรูปแบบที่พลิกผัน ซึ่งบ้านเมืองอาจหาข้อยุติลำบาก" นายภูมิธรรม กล่าว
ก็ชัดเจนว่า พรรคเพื่อไทยมีการอ้างเสียงประชาชนทั่วประเทศว่า จับตาดูเรื่องนี้อยู่อย่างใกล้ชิด ขอให้ศาล รธน.อย่าวินิจฉัยแบบค้านสายตาประชาชน ไม่งั้นอาจเกิดความขัดแย้งรุนแรงได้
ออกแนว "เชิงขู่กันในที" ทั้งที่ความเป็นจริงแล้วว่ากันตามหลักการตัดสินคดีทั่วโลก ศาลควรตัดสินไปตามเนื้อผ้า ทั้งยังต้องสามารถชี้แจงถึงเหตุผลว่าเหตุใดจึงตัดสินไปเช่นนั้น การยกมวลชนจำนวนมากมาอ้าง หรือเป็นการชี้นำศาล รธน.เหมือนที่ นายเทพไท เสนพงศ์ ส.ส.นครศรีธรรมราช ปชป.บอก เป็นการสมควรหรือไม่? ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศก็คงต้องฉุกคิด
ขณะที่หากเกมออกมาในรูปนี้ เชื่อแน่ว่าวันที่ 5-6 ก.ค.ที่ศาล รธน.นัดไต่สวนคดี จะต้องมีมวลชน นปช.ไปแสดงพลังอยู่บริเวณรอบๆ ศาลรธน.แน่ เพียงแต่ว่าจะมากหรือน้อยเท่านั้น ก็ขึ้นอยู่ที่ นปช.กับพรรคเพื่อไทย จะส่งสัญญาณในรูปแบบไหนกับกลุ่มมวลชนที่สนับสนุนตนเองต่อจากนี้ จะกลับกลายเป็นยิ่งตอกย้ำสังคมให้เห็นว่ามีการคุกคามการทำหน้าที่ของศาล ตามที่สำนักงานศาล รธน.ยื่นถอนประกันตัว คดีก่อการร้าย นายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำ นปช.หรือไม่? เพราะต้องยอมรับว่า ที่กลุ่มแกนนำ นปช.กับ พรรคเพื่อไทย ตระเวนขึ้นเวทีปราศรัยไปทั่วประเทศ กล่าวโจมตีการทำหน้าที่ของศาลรธน.ก็เด่นชัดมากอยู่แล้ว
นี่ไม่นับรวม แม้ยังไม่ถึงวันที่ 1 ส.ค. ซึ่งเป็นวันเปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎรสมัยสามัญ ที่หลายฝ่ายออกมาทึกทัก เกรงจะเกิดความวุ่นวาย จากร่าง พ.ร.บ.ปรองดอง ที่จ่ออยู่ในลำดับที่ 1 ของสภาฯ จะต้องนำขึ้นมาพิจารณา หากไม่มีการสั่งชะลอ หรือถอนร่างฯ ตามที่ นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานสภาผู้แทนราษฎร ออกมาเสนอแนวคิดก่อนหน้านี้ กรณีองค์การนาซาถอนตัวไม่ใช้อู่ตะเภาสำรวจเมฆในชั้นบรรยากาศภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรือแม้แต่ประเด็นเล็กๆ ที่กลุ่มวิทยุชุมชนเสื้อแดง ที่ ปทุมธานี บุกไปป่วนในงาน "ราตรีสีฟ้า" ของพรรคประชาธิปัตย์ หรือการปลุกมวลชนของขั้วการเมืองใหญ่ทั้ง 2 ฝ่าย เพื่อไทย-ประชาธิปัตย์ ที่ต่างตระเวนจัดเวทีปราศรัยไปทั่วทั้ง กทม.และต่างจังหวัด
สำหรับประชาชนตาดำๆ หาเช้ากินค่ำที่อยู่วงนอก มองจากมุมไหนก็ถือว่าอันตรายอย่างยิ่ง สำหรับรัฐบาลยิ่งลักษณ์ และประเทศไทยทั้งนั้น เพราะหากปมปัญหาขัดแย้งทางการเมืองยังไม่หยุด ยังไม่คลี่คลาย ก็มีแต่จะเขม็งเกลียวมากยิ่งขึ้น เกรงว่าหลังเปิดสภาผู้แทนราษฎรในวันที่ 1 ส.ค.ประเทศสุ่มเสี่ยงมีสิทธิ์จะเกิดเหตุกลียุคนองเลือดได้ อย่างที่หลายฝ่ายออกมาวิเคราะห์ก่อนหน้า
ดังนั้น ถือเป็นหน้าที่ของตัวละครการเมืองที่สำคัญที่สุดอย่างฝ่ายรัฐบาลที่นำโดย น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กับผู้นำฝ่ายค้าน อย่างนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ จะต้องร่วมกันเป็นผู้ปลดชนวนความขัดแย้งไปให้ได้ แต่หากทั้งสองฝ่ายยังห้ำหั่น และหันหลังให้กันทางการเมือง บอกได้เพียงคำเดียวว่า "ประเทศยุ่งแน่"