ความรู้สึกว้าเหว่ที่แพร่กระจายไปสู่จิตใจของคนไทยส่วนใหญ่อันสืบเนื่องมาจากวิกฤติการเมือง น่ากลัวกว่า ไข้หวัดใหญ่ 2009 เสียอีก เพราะไข้หวัดยังมียารักษา ยังมีวิธีป้องกัน แต่วิกฤติบ้านเมือง ไม่มีวิธีรักษา ไม่มีทางป้องกัน
ต้องแหลกกันไปข้าง
ไม่เฉพาะหญ้าแพรกต้องแหลกราญเท่านั้น แต่วิกฤติบ้านเมืองคราวนี้ ยับเยินทั้งระบบ ตั้งแต่บนลงล่าง และตั้งแต่ล่างขึ้นบน ยกตัวอย่าง คดีกล้ายางนั่นปะไร ไม่เฉพาะคุณเนวิน ชิดชอบ เท่านั้น แต่ยังมีอดีต รมต.อีก 4 คนด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นคุณสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ อดีตรองนายกฯ คุณสรอรรถ กลิ่นประทุม อดีต รมว.เกษตรฯ คุณวราเทพ รัตนากร อดีต รมช. คลัง คุณอดิศัย โพธารามิก อดีต รมว.พาณิชย์
ภาคเอกชนก็โดนด้วย ทั้งผู้รับมอบอำนาจจากบริษัทเจริญโภคภัณฑ์และกรรมการบริหารบริษัทเจริญโภคภัณฑ์เมล็ดพันธุ์ อาทิ คุณวัลลภ เจียรวนนท์ ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ คุณพิศิษฐ เศรษฐวงศ์ รองปลัดพาณิชย์ คุณปริญญา อุดมทรัพย์ รองอธิบดีกรมการปกครอง คุณราเชนทร์ พจนสุนทร อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ คุณสิทธิ บุณยรัตผลิน อธิบดีกรมประมง
ไม่ว่าผลการตัดสินจะออกมาด้านไหน บ้านเมืองก็จะมีปัญหาอยู่ดี
บุคลากรคุณภาพและอยู่ในระดับความสำคัญของประเทศ เดี้ยงกันหมด ซึ่งไม่ใช่แค่เรื่องของคดีกล้ายางเท่านั้น ยังรอคิวเชือดในทำนองเดียวกันอีกเยอะแยะไปหมด
ถามว่าสังคมไทยได้อะไร
ข้าราชการ บุคลากรทางการเมือง ภาคเอกชน กลายเป็นผู้ต้องหาเป็นนักโทษเต็มไปหมด ไม่ใช่เพราะจะต้องปฏิบัติ
ตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด แต่เป็นเพราะมีการตรวจสอบชนิดเหวี่ยงแหต่างหาก
ย้อนไปโฟกัสที่ อดีตคณะกรรมการ คตส. ทั้งหลาย บางท่านก็แผลเต็มตัว บางท่านก็มาให้การเป็นประโยชน์กับจำเลยด้วยซ้ำไป
ข้อครหาที่ว่าการทำงานของ คตส.ในอดีต ทำตามใบสั่ง ชักจะชัดขึ้นทุกวัน แล้วระบบความเป็นธรรมจะได้รับการยอมรับนับถือได้อย่างไร
ประดักประเดิดชอบกล
ครั้นจะอ้างว่าประเทศไทยปกครองโดยระบอบประชาธิปไตย ยึดหลักนิติรัฐ ก็ฟังไม่ขึ้น เพราะผู้บริหารไม่เคยรับฟังเสียงส่วนใหญ่ ใช้อำนาจโดยพลการ ล้วงลูก เผด็จการทางความคิด
การบังคับใช้กฎหมายก็ไม่เท่าเทียมกัน ไม่มีความเสมอภาค ไม่มีมาตรฐาน จึงเป็นที่มาของความไม่สงบสุขในประเทศ ประชาชนอยู่บนความหวาดระแวง การบริหารประเทศอยู่บนความเสี่ยงต่อการยึดอำนาจ
ปฏิวัติรัฐประหาร.
...