นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ อดีต ส.ว.สรรหา ชี้พรรคประชาธิปัตย์ มีความเสี่ยงสูงที่จะถูกยุบพรรค อ้างไม่ยอมแจงงบดุลรับเงินอีสวอเตอร์...
วันที่ 20 พ.ค.นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ อดีต ส.ว.สรรหา กล่าวถึงกรณีนายจตุพร พรหมพันธ์ุ อดีตส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย แกนนำ นปช.ระบุว่าได้ยื่นเรื่องยุบพรรคประชาธิปัตย์ จากกรณีรับเงินบริจาคจากบริษัท อีสวอเตอร์ ว่า คดีดังกล่าวสืบเนื่องมาจากการท่ี่พรรคประชาธิปัตย์ เปิดบัญชีกับธนาคารกรุงไทย เพื่อขอรับเงินบริจาคเข้าศูนย์ช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย เมื่อเดือน พ.ย.2553
โดยนายเรืองไกร อ้างว่า ในช่วงแรกเว็บไซต์ของพรรคแจกแจงรายชื่อผู้บริจาค โดยมีชื่อบริษัท อีสวอเตอร์ บริจาคให้ 1 ล้านบาท มีภาพนายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ นายสาธิต ปิตุเตชะ ร่วมรับอยู่ด้วย แต่เมื่อตรวจสอบต่อไปว่าได้มีการแจกแจงบัญชีดังกล่าวไว้ในรายงานงบดุลของพรรคปี 2553 หรือไม่ ก็ไม่พบว่ามีการแจ้งบัญชีเอาไว้ ตนจึงยื่นเรื่องให้นายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธานกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมือง ตรวจสอบกรณีดังกล่าวแล้ว และทราบว่ามีการตั้งคณะกรรมการไต่สวนขึ้นมาสอบปากคำผู้ร้องแล้ว โดยขอให้เรียกบัญชีธนาคารกรุงไทย มาตรวจสอบว่า พรรคเปิดบัญชีไว้โดยใคร มีเงินเข้าบัญชีกี่รายการ ออกจากบัญชีกี่รายการ และปิดบัญชีเมื่อใด เพราะเคยลองนำเงินไปฝากตามเลขที่บัญชีดังกล่าว ปรากฏว่าพนักงานแบงก์แจ้งว่าบัญชีปิดไปแล้ว
นายเรืองไกร กล่าวว่า แสดงว่าบัญชีเคยมีอยู่จริง และเนื่องจากรายงานเงินบริจาค เดือน พ.ย.2553 ที่แจ้ง กกต.ไม่พบรายการรับบริจาค จากอีสวอเตอร์ วนชัยกรุ๊ป และกลุ่มบริษัทกัฟล์ อีกทั้งในงบการเงินของพรรคปี 2553 ก็ไม่มีการรายงานเกี่ยวกับเงินบริจาคดังกล่าว จึงสงสัยว่าจะเป็นการทำบัญชีขึ้นมา 2 ชุดหรือไม่ และมีประเด็นที่ควรตรวจสอบว่า พรรคลงบัญชีครบถ้วนถูกต้องตามความเป็นจริงหรือไม่ แต่ยังไม่ทราบว่าคืบหน้าไปถึงไหน กรณีนี้เห็นว่ามีความชัดเจนว่า คดีรับเงินบริจาคจากบริษัทเมซไซอะ เป็นการกระทำที่อาจเข้าข่ายความผิดตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง มาตรา 65, 71, 82 ประกอบมาตรา 42 วรรคสอง ซึ่งมีโทษถึงขั้นยุบพรรค
...