ทุกรัฐบาล เมื่อถูกประชาชนวิจารณ์ว่าไม่มีผลงาน ก็มักจะออกมาแก้ตัวว่า รัฐบาลมัวแต่ทำงานหนัก มีผลงานดีๆมากมาย แต่ประชาสัมพันธ์ไม่เป็นคนเลยไม่รู้ ทั้งๆที่สื่อทีวีและวิทยุทั้งหมด ก็เป็นสื่อของ รัฐบาลร้อยเปอร์เซ็นต์
ล่าสุด รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ ก็เหมือนกัน ผลงานรัฐบาล 6 เดือนที่ผ่านมา ได้คะแนนแค่สอบผ่านหรือใช้ได้ ก็ออกมาแก้ตัวว่า ประชาสัมพันธ์อ่อน
นายชุมพล กาญจนะ ประธาน ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งไป ทาบทาม นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ให้มาเป็น "โฆษกรัฐบาล" บอกว่า ที่ต้องยกเครื่องกองงานโฆษกรัฐบาล ก็เพราะรัฐบาลมีนโยบายดีๆมากมาย แต่กองงานโฆษกสื่อสารออกไปให้ประชาชนรับทราบน้อยมาก
รัฐบาลนี้อ่อนประชาสัมพันธ์จริงหรือ
คำตอบของผมก็คือ ไม่จริง
เมื่อสองวันนี้เอง บริษัทวิจัยสื่อโฆษณา เอซี นีลสัน เพิ่งรายงาน ตัวเลขการโฆษณาผ่านสื่อในรอบเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาว่า สำนักนายกรัฐมนตรี มีการใช้เงินโฆษณาผ่านสื่อต่างๆ สูงสุดเป็นอันดับ 3 ของยอดโฆษณาทั้งหมดเป็นเงินกว่า 160 ล้านบาท เพิ่มขึ้นสองเท่าจากเดือนมิถุนายนที่ใช้เงินโฆษณาไป 76 ล้านบาท
แค่สองเดือน สำนักนายกรัฐมนตรี ใช้เงินโฆษณาไปแล้วกว่า 236 ล้านบาท ก่อนหน้านี้ใช้ไปเท่าไรแล้ว ใครอยากรู้คงต้องไปขอข้อมูลจาก เอซี นีลสัน
ยอดการใช้เงินโฆษณาของ สำนักนายกรัฐมนตรี อยู่ใน อันดับ 3 รองจาก ยูนิลิเวอร์ และ พีแอนด์จี มากกว่า ไบเออร์ รถยนต์โตโยต้า โคคาโคลา และมากกว่า เอไอเอส ค่ายมือถือยักษ์ใหญ่เกือบเท่าตัว เห็นไหมว่าสำนักนายกฯใช้เงินโฆษณามากมายขนาดไหนแม้แต่บริษัทยักษ์ใหญ่เอกชนยังสู้ไม่ได้
แล้วจะมาบอกว่า รัฐบาลอ่อนประชาสัมพันธ์ ได้อย่างไร
นี่แค่งบโฆษณาของหน่วยงานเดียวเท่านั้น ยังไม่นับเงินโฆษณาของกระทรวงต่างๆ ที่ทุ่มงบโฆษณากันอีกมากมาย รวมทั้ง กรุงเทพมหานคร มีการโฆษณาตามสื่อทุกวัน โดยมี รัฐมนตรี และผู้ว่าฯ กทม. เป็นพรีเซ็นเตอร์โฆษณากันตรงๆ เลย
นอกจากนี้ รัฐมนตรีแต่ละคน ยังมีการใช้งบ จ้างเอเยนซีโฆษณา และจ้างบริษัทประชาสัมพันธ์ แยกเป็นส่วนตัวอีกต่างหาก ขนาด รัฐมนตรีว่าการ กับ รัฐมนตรีช่วย ก็ยังจ้างบริษัทประชาสัมพันธ์แยกกันเลย ของใครของมันเพื่อใช้เผยแพร่งานของตัวเอง เพื่อให้เข้าถึงสื่อและมวลชนให้มากที่สุด ตรงนี้ไม่รู้ใช้งบประมาณไปอีกกี่ร้อยล้านบาท
จ้างประชาสัมพันธ์มืออาชีพมาทำงานกันมากมายขนาดนี้ แล้วยังจะมาบอกว่ารัฐบาลอ่อนเรื่องการประชาสัมพันธ์ คงฟังไม่ขึ้น
เมื่อนับรวมเม็ดเงินทั้งหมด ที่รัฐบาลใช้ไปในการโฆษณาประชาสัมพันธ์ผลงานของรัฐบาลในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมาแล้ว ผมประเมินคร่าวๆ ว่า น่าจะไม่น้อยกว่า 1,000 ล้านบาท เฉลี่ยเดือนละ 160 กว่าล้านบาท
ด้วยเม็ดเงินโฆษณาประชาสัมพันธ์ขนาดนี้ คะแนนนิยมของรัฐบาลน่าจะพุ่งขึ้นไปสูงลิ่ว แต่ผลที่ออกมากลับตรงกันข้าม ประชาชนรับรู้ผลงานของรัฐบาลแค่ไม่กี่เรื่อง นักธุรกิจและนักวิชาการให้คะแนนรัฐบาลแค่สอบผ่านด้วยความเกรงใจ
สิ่งหนึ่งที่ผมอยากให้รัฐบาลเข้าใจก็คือ การโฆษณาประชาสัมพันธ์ที่ถูกต้องจะต้องมีผลงานที่ดีเป็นรูปธรรมจับต้องได้เป็นตัวตั้ง การโฆษณาประชาสัมพันธ์จึงจะได้ผล ไม่ใช่การขายฝันด้วยนโยบายเหมือนตอนหาเสียง มันคนละเรื่องเดียวกัน ถ้าไม่มีผลงาน ต่อให้ทุ่มเงิน โฆษณามากกว่านี้หลายเท่า ก็ไม่มีผลงานอยู่ดี
ถ้ารัฐบาลมีผลงานเมื่อไร ไม่ต้องเสียเงินไปโฆษณาประชาสัมพันธ์แม้แต่บาทเดียว แค่บอกเล่าผ่านสื่อที่มีอยู่เท่านั้น ประชาชนย่อมรู้สึกและรับรู้ได้เองว่า นี่คือผลงานของรัฐบาลอย่างแท้จริง.
"ลม เปลี่ยนทิศ"
...