ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่อุบัติขึ้นมาแล้ว 3 เดือน แพร่ระบาดไปแล้ว 160 ประเทศ มีผู้เสียชีวิตไปแล้ว 816 ราย
และยังอาละวาดต่อไปอีกยาวนาน
เพียงแต่คนในโลกมีโอกาสเป็นเหยื่อไข้หวัดมรณะไม่เท่ากัน
ประเทศที่รัฐบาลเข้มแข็งสามารถ
ตัดวงจรแพร่ระบาดได้รวดเร็ว ประชาชนก็ปลอดภัย
ประเทศที่รัฐบาลไม่เข้มแข็ง ไม่สามารถตัดวงจรแพร่ระบาดได้ทันท่วงที ประชาชนก็ต้องตกอยู่ในอันตราย
ทุกขัง อนิจจัง ใครโชคดีก็รอด ใครโชคร้ายก็ตาย ฉะนั้นแล
สำหรับประเทศไทยยอดตัวเลขผู้เสียชีวิตจากไข้หวัดมฤตยูล่าสุดพุ่งกระฉูดเพิ่มขึ้นเป็น 66 ราย
เฉพาะสัปดาห์นี้มียอดผู้เสียชีวิต 22 ราย
เปรียบเทียบกับสัปดาห์ที่แล้ว 20 ราย เท่ากับสัปดาห์นี้ยอดคนตายเพิ่มจากสัปดาห์ก่อน 2 คน
แสดงว่าประสิทธิภาพในการรับมือของรัฐบาลยังแย่เหมือนเดิม!!
ส่วนความรุนแรงการแพร่ระบาดเชื้อไวรัสไข้หวัดมฤตยูที่กระทรวงสาธารณสุขประเมินไว้ในสัปดาห์ที่แล้วว่ามีผู้ติดเชื้อไม่ต่ำกว่าห้าแสนคน ก็ยังเพิ่มขึ้นต่อไปจนนับตัวเลขไม่ทัน
เพราะตราบใดที่ยังตัดวงจรแพร่ระบาดไม่ได้ จำนวนผู้ติดเชื้อก็ต้องเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ
"แม่ลูกจันทร์" พยายามมองในแง่ดี ถึงแม้ประเทศไทยจะมีจำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสไข้หวัดนรกใกล้จะถึงหนึ่งล้านคน
แต่ถ้าจำนวนผู้ป่วยที่ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลยังไม่เพิ่มสูงผิดปกติ
หรือยอดผู้ป่วยสะสมยังไม่เกินหนึ่งหมื่นคน
ก็ยังไม่ถึงขั้นวิกฤติฉุกเฉินร้ายแรง!!
แต่ที่น่าวิตกคือยอดคนตายที่ยังเพิ่มไม่หยุด และยังครองแชมป์ตายมากที่สุดของเอเชีย
ถ้าสัปดาห์หน้ายอดผู้เสียชีวิตจากไข้หวัดมฤตยูยังไม่ลดลง นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในฐานะผู้รับผิดชอบนโยบายต้องรับ ผิดชอบไปเต็มๆ
ด้วยเหตุนี้ รัฐบาลจึงเปลี่ยนระบบการรักษาใหม่ เพื่อไม่ให้ยอดผู้ป่วยเสียชีวิตเพิ่มสูงกว่าเดิม
คือจากที่แพทย์จะจ่ายยาต้านไวรัส
โอเซลทามิเวียร์เฉพาะผู้ป่วยที่มีผลตรวจยืนยันว่าติดเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่แน่นอน
แต่ระบบใหม่ให้แพทย์ต้องจ่ายยาโอเซลทามิเวียร์ให้ผู้ป่วยทันที โดยไม่ ต้องรอผลตรวจให้เสียเวลา
โดยเฉพาะ "กลุ่มเสี่ยง" เช่น คนอ้วน คนแก่อายุ 65 ขึ้นไป สตรีมีครรภ์ ผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคตับ ไต หัวใจ ปอด มะเร็ง และทางเดินหายใจ
ใครก็ตามที่อยู่ในสเปกนี้ ถ้ามีอาการไข้หวัด ไอเจ็บคอ ตัวร้อนเกิน 38 องศา ให้อัดยาต้านไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ ใหม่กันไว้ก่อนได้เลย!!
ฝ่ายการเมืองมั่นใจว่านโยบาย "อัดยาไว้ก่อน" จะทำให้ยอดคนตายลดลง
แต่การอัดยาต้านไวรัสตะบันยัน โดยไม่รอผลการตรวจให้ชัดเจนก็เป็นดาบสองคม
เพราะจะทำให้เชื้อไวรัสดื้อยา
และถ้าเชื้อไวรัสเกิดดื้อยาขึ้นมาเมื่อไหร่ นอกจากรักษาไม่หาย ยอดคนตายจะยิ่งพุ่งกระฉูดสูงกว่าเดิม??
ข้อสำคัญ การที่เน้นเฉพาะ "กลุ่มเสี่ยง" ก็เป็นข้อมูลที่ขัดแย้งกับความจริง
เพราะผลการวิเคราะห์ผู้เสียชีวิตชุดแรก 44 ราย ปรากฏว่ามี 12 ราย ที่ไม่ได้อยู่ในกลุ่มเสี่ยง และไม่มีโรคประจำตัว
ส่วนผู้เสียชีวิตในสัปดาห์นี้ 22 ราย ข้อมูลระบุว่า 8 ราย มีสุขภาพแข็งแรง ไม่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง และไม่มีโรคประจำตัว
การตีกรอบเน้นเฉพาะคนที่อยู่ใน "กลุ่มเสี่ยง" อย่างเดียว จะทำให้คนป่วยที่ไม่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงไม่ได้รับการรักษาดูแลจากแพทย์เท่าที่ควร
โอ๊ย...คิดแล้วก็ปวดกบาล.
"แม่ลูกจันทร์"
...