"รสนา" นั่งประธาน กมธ.ศึกษา ตรวจสอบเรื่องการทุจริตฯวุฒิสภา ถกโจรปล้นบ้าน "สุพจน์" เรียก "เฉลิม" แจงโยงที่มาของเงิน เชื่องานนี้มีคนติดคุกแน่ แนะหากคุ้ย ก.คมนาคม ย้อนหลัง 5 ปี ให้เสนอนายกฯ ขณะที่ "ภาณุพงศ์" ชี้ ปลัดอาจโดนแจ้งความเท็จ เรื่องจำนวนเงินถูกปล้นไม่ตรงกัน....

เมื่อวันที่ 8 ธค.2554 มีการประชุมคณะกรรมาธิการศึกษา ตรวจสอบเรื่องการทุจริตและเสริมสร้างธรรมาภิบาล วุฒิสภา โดยมี น.ส.รสนา โตสิตระกูล ส.ว.กทม. เป็นประธาน เพื่อพิจารณากรณีโจรปล้นบ้านนายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม ปลัดกระทรวงคมนาคม โดยเชิญ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี และ พล.ต.อ.ภาณุพงศ์ สิงหรา ณ อยุธยา รองผบ.ตร. เข้าชี้แจง โดย น.ส.รสนา ตั้งข้อสังเกตว่า จะเชื่อได้อย่างไรว่า เงินดังกล่าวเป็นของนายสุพจน์จริง เพราะมีการมองว่า การปล้นครั้งนี้เป็นการปล้นทางการเมือง ที่ต้องการแฉและใส่ร้าย นักการเมืองอีกค่ายได้จ้างให้มาปล้นหรือไม่ และเป็นไปได้หรือไม่ที่มีการปล้นเงินไปส่วนหนึ่ง และนำเงินอีกส่วนเข้ามาผสม เพราะคดีนี้ดูเหมือนเจ้าทุกข์จะตกเป็นผู้ต้องสงสัยเอง ซึ่งต้องให้ความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย ตรงนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจจะมีวิธีการพิสูจน์อย่างไรว่าจะไม่มีการใส่ร้าย และยัดเงินในภายหลัง

นายคำนูณ สิทธิสมาน ส.ว.สรรหา หนึ่งในกรรมาธิการฯ ได้เสนอว่า รัฐบาลควรถือโอกาสนี้ยกเป็นวาระที่จะปราบปรามการคอรัปชันอย่างจริงจัง มีการตรวจสอบโครงการที่ส่อทุจริตในกระทรวงต่างๆ ย้อนหลังไป 5 ปี โดยเฉพาะกระทรวงคมนาคมที่คนในสังคมทราบกันดีว่าเป็นกระทรวงเกรดเอ โดยจะเสนอให้คณะกรรมาธิการฯเสนอเป็นญัตติหารือในที่ประชุมวุฒิสภา ซึ่งอยากขอความร่วมมือให้นายก    รัฐมนตรี เข้าร่วมรับฟังและชี้แจงด้วย

ด้าน ร.ต.อ.เฉลิม ชี้แจงว่า กระทรวงคมนาคมเป็นกระทรวงทองฝังเพชร สำหรับคดีนี้ต้องตามจับผู้ต้องหาอีก 3 รายให้ได้ แต่จะเป็นเมื่อไหร่ก็ตอบไม่ได้ ซึ่งทั้ง 3 คนน่าจะเป็นคนขับรถขนเงิน และคนใช้ในบ้านของนายสุพจน์ และที่ผ่านมา เคยจะสั่งการให้เข้าค้นบ้านนักการเมือง 3 คน แต่ไม่ทำ เพราะเกรงคนจะมองว่าบ้าอำนาจ ไล่เช็กบิลฝ่ายตรงข้าม อย่างไรก็ตาม ในปี 2539 ได้มีนักการเมืองหนึ่งใน 3 คนนี้ เคยมาขอยืมเงินลูกชายคนโตของตน จำนวน 30 ล้านบาท และอีกหนึ่งคนเป็นบุคคลที่เคยอยู่ในพรรคไทยรักไทย และใกล้ชิดกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี แต่ขณะนี้เป็นบุคคลล้มละลาย ส่วนอีกคนไม่ขอเปิดเผยรายละเอียด แต่น่าจะทราบกันดีอยู่แล้ว

ทั้งนี้ คดีอาชญากรรมต้องสืบจากศพ ส่วนคดีเศรษฐกิจต้องสืบจากเงิน วันนี้นายสุพจน์เดินไปไหนไม่สามารถตอบคำถามใครได้ถึงที่มาเงินจำนวนมาก อย่าว่าแต่ข้าราชการ นักการเมืองหลายคนก็ชอบเก็บเงินไว้ในบ้าน บางคนเก็บไว้จนแมลงสาบตายหมด เพราะเหม็นกลิ่นแบงก์ ดังนั้นต้องพุ่งเป้าตรวจสอบไปยังนักการเมืองที่มีโครงการจำนวนมาก อย่างการประชุม ครม.มาราธอน 900 นาที อนุมัติ 311 วาระรวด สั่งซื้อเครื่องบินที 70-80 ลำ รวมไปถึงโครงการถนนปลอดฝุ่น

ร.ต.อ.เฉลิมกล่าวต่อว่า แต่รัฐบาลชุดนี้ยังมีการค้านและทักท้วงกันในรัฐบาล ล่าสุดได้มีการท้วงติงการของบฟื้นฟูน้ำท่วมกว่า 1 หมื่นล้านบาท และโครงการแปลงพื้นที่การทางพิเศษฯไปทำประโยชน์ทางธุรกิจ ถ้าอยากตรวจสอบ ขอแนะนำให้คณะกรรมาธิการฯทำหนังสือไปถึงนายกรัฐมนตรี ให้ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบโครงการใหญ่ๆย้อนหลัง แต่ไม่กล้าพูดถึงขนาดว่า จะมีการสังคายนาเลยหรือไม่ เพราะเป็นอำนาจนายกรัฐมนตรี แต่ถ้ามอบหมายให้ตน ก็สามารถพูดได้เลยว่ามีการโกงจริง

"อยากถามว่า สั่งซื้อเครื่องบินทีเดียว 70-80 ลำ ซื้อทำไม เชื่อว่านายกฯเองก็อยากทำ และพูดได้เลยว่า กรณีก่อสร้างรถไฟฟ้าต้องมีคนเข้าคุกแน่ เพราะมีการใช้เงินผิดวัตถุประสงค์ จนที่ผ่านมาทางไจก้ายกเลิกสัญญากับบริษัทที่ประมูลได้ ดังนั้นถ้ารัฐบาลชุดนี้ไม่มีโกง เราก็อยู่ได้ แต่ถ้าโกงเมื่อไหร่ก็จบ หิ้วกระเป๋ากลับบ้านได้เลย ไม่อยากเห็นสังคมไทยไปเชื่อคำพูดพวกสร้างภาพ จะเป็นรัฐบาลหรือฝ่ายค้านไม่เคยอภิปรายในสภา เอาแต่เก็บถุงอย่างเดียว" ร.ต.อ.เฉลิม กล่าว

นอกจากนี้ ยังย้ำว่าเป็นไปไม่ได้ที่คนร้ายมีการยัดเงินในภายหลัง เพราะไม่มีศักยภาพเพียงพอ ส่วนความคืบหน้าในการสืบสวนคดี ถือว่าสมบูรณ์ร้อยเปอร์เซ็นต์ ส่วนจะมีการทุจริตหรือไม่นั้น หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำลังตรวจสอบอยู่ หากได้ตัวนายวีระศักดิ์ เชื่อลี หรือ“นายโก้” จะสามารถเชื่อมโยงได้หมด เพราะเป็นผู้ต้องหาคนสำคัญ จึงฝากไปว่า ถ้านายโก้ไม่มั่นใจในความปลอดภัย ตนก็พร้อมจะเดินทางไปรับตัวด้วยตนเอง และยืนยันคดีนี้จะไม่มีการซูเอี๋ยกัน เพราะหลักฐานชัดเจน

ด้าน พล.ต.อ.ภาณุพงศ์ ชี้แจงว่า ตั้งแต่เกิดเหตุ เจ้าหน้าที่ตำรวจยังไม่ทราบจำนวนเงินที่แท้จริง ซึ่งขณะรับแจ้งว่าถูกปล้นได้ แต่เก็บรวบรวมพยานหลักฐานและถ่ายรูปในที่เกิดเหตุไว้ แต่ไม่มีอำนาจไปรื้อค้นบ้านผู้เสียหาย จากคำให้การและหลักฐานในที่เกิดเหตุ พบว่ายังมีกระเป๋าอีก 3 ใบในที่เกิดเหตุ ซึ่งคนร้ายเอาไป 1 ใบ และจากการสืบสวนคนร้าย ให้การว่ากระเป๋าใบนั้นมีเงินประมาณ 20 ล้านบาท ยังเหลืออีก 2 ใบใหญ่ที่ไม่ได้รื้อค้น แต่คาดการณ์ว่า น่าจะมีเงินในปริมาณเท่าๆกัน อย่างไรก็ตาม ตอนแรกที่มีการแจ้งความ ได้แจ้งว่าเงินถูกปล้น 700,000 บาท แต่มาเพิ่มยอดทีหลังเป็น 5 ล้านบาท จึงรู้สึกผิดปกติ

...

อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจให้ความเป็นธรรมและทำงานไปตามระบบ ไม่สามารถเบี่ยงเบนคดีได้ ส่วนจะมีการนำเงินไปยัดในภายหลังหรือไม่ คนพวกนี้ไม่มีปัญญาทำ ส่วนเงินของกลางที่อยู่กับนายโก้ คาดว่าขนไปไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาท

ทั้งนี้ เมื่อดูเจตนาของนายสุพจน์ที่กลับมาสำรวจทรัพย์สิน และหลักฐานที่คนร้ายรื้อค้น เชื่อว่าจะไม่มีการแจ้งความแน่นอน แต่ขณะนั้นเป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า เพราะไม่รู้ข้อเท็จจริงว่าคนร้ายมุ่งจะมาเอาเงินในส่วนนี้ ซึ่งเมื่อได้รับแจ้งจากคนใช้ ก็ต้องนึกถึงตำรวจไว้ก่อน แต่คงไม่ได้คิดว่าจะเป็นเงินส่วนนี้ ทางเจ้าพนักงานสอบสวนได้รวบรวมพยานหลักฐานค่อนข้างชัดเจนในหลายส่วน แต่ที่ยังไม่ตรงคือยอดของทรัพย์สิน เพราะผู้เสียหายไม่ได้ให้ข้อเท็จจริง ทางตำรวจจึงต้องสืบเอาจากพยานหลักฐานแวดล้อม และจากปากคำผู้ต้องหา ซึ่งกรณีนี้ ผู้เสียหายอาจมีความผิดฐานแจ้งความเท็จได้ ส่วนจะมีการทุจริตหรือไม่ หน่วยงาน ปปง.และ ป.ป.ช.กำลังดำเนินการสอบสวน