ผมนั่งอ่านรายงาน "สกู๊ปข่าวหน้า 1" ของไทยรัฐ ฉบับเมื่อวานนี้ แล้วก็มีอาการไม่สบายใจขึ้นมาตงิดๆ ต้องขออนุญาตนำมาขยายความออกความเห็นเพิ่มเติมในวันนี้

ทีมสกู๊ปข่าวหน้า 1 ซึ่งไปฟังการเสวนาเชิงวิชาการเรื่อง "จำนำ-ประกันราคา-ฤาแก้ปัญหาสินค้าเกษตรไทย" จัดโดยสมาคมสื่อมวลชนเกษตรแห่งประเทศไทย ที่มหาวิทยาลัยเกษตรฯ รายงานตอนหนึ่งว่า...

ผลของการใช้นโยบายรับจำนำข้าวที่ดำเนินการมา 6 ปีแล้ว โดยให้ราคาที่สูงกว่าความเป็นจริง ทำให้ชาวนาหันมาปลูกข้าวมากขึ้น  แต่เป็นการปลูกอย่างลวกๆ ง่ายๆ ชนิดปลูกปีละ 3 ครั้ง เพื่อจะได้มีข้าวมาจำนำรัฐบาลเยอะๆ

ด้วยการกระทำแบบนี้ทำให้ข้าวไทยมีคุณภาพตํ่าลงและกลายเป็นข้าวที่ตลาดโลกไม่ให้ราคาและซื้อข้าวไทยน้อยลง

ตัวเลขจากการเสวนาน่าห่วงมาก ไทยส่งข้าวออกลดลง 30% เวียดนามเพิ่มขึ้น 56% และไทยมีส่วนแบ่งตลาดโลกเพียง 22% เท่านั้น ในขณะนี้ โดยเวียดนามไล่จี้มาที่ 20% ใกล้จะทันอยู่รอมร่อ

ผลเสียอีกประการหนึ่งของนโยบายจำนำข้าว  เกิดขึ้นจากการที่บุคคลบางกลุ่มฉวยโอกาสนำข้าวจากพม่าและจากเขมรที่ต้นทุนการเพาะปลูกตํ่ากว่าเข้ามาจำนำด้วยเพราะได้กำไรจากการซื้อข้าวพม่าเขมรมาจำนำเป็นเท่าๆตัว

ส่งผลให้ชาวนาพม่าชาวนาเขมรต่างก็ขยายการเพาะปลูกกันยกใหญ่ เพื่อส่งมาขายคนไทยที่จะเอาไปจำนำต่อ

กลายเป็นว่านโยบายรับจำนำข้าวนอกจากจะทำลายข้าวไทยให้กลายเป็นข้าวคุณภาพตํ่าเป็นประการแรกแล้วยังกลายเป็นนโยบายช่วยเหลือชาวนาของประเทศเพื่อนบ้านเป็นประการที่สอง

นี่แหละครับ...สาเหตุที่ทำให้ผมรู้สึกไม่สบายใจเมื่ออ่านรายงานชิ้นนี้ ซึ่งเก็บมาจากอภิปรายในเวทีเสวนาที่ว่า

รายละเอียดใครกล่าวว่าอย่างไร ลองกลับไปอ่านไทยรัฐฉบับเมื่อวานกันอีกทีนะครับ อยู่ในหน้า 5 ใกล้ๆกับคอลัมน์ผมนี่แหละ

ในฐานะนักเรียนเศรษฐศาสตร์ ผมไม่เห็นด้วยกับนโยบายประกันราคาข้าว จำนำข้าว หรือแม้แต่แทรกแซงราคามาตั้งแต่แรก...

เพราะอะไรก็ตามที่ไปทำให้กลไกตลาดบิดเบือน  ในที่สุดก็จะทำให้ ทุกสิ่งทุกอย่างบิดเบือนและจะเป็นผลเสียต่อระบบเศรษฐกิจเป็นส่วนรวม

แต่ในทางการเมือง หรือบางครั้งก็อาจกล่าวได้ว่า ในทางมนุษยธรรม... เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรที่เป็นผู้อ่อนด้อยกว่ากลุ่มอื่นๆในสังคม  รัฐบาลมักมีความจำเป็นที่จะต้องดำเนินการ

โดยทั่วไปแล้วนักเศรษฐศาสตร์ก็มิใช่ใจไม้ไส้ระกำ ถึงกับคัดค้านหัวชนฝา หรือห้ามขาดไปเสียหมด เพราะตระหนักดีว่าสิ่งที่รัฐบาลกระทำลงไปนั้นก็ด้วยเจตนาดี เพื่อช่วยเหลือเกษตรกร

จึงมักไม่ค้านสุดโต่ง แต่ก็จะมีความเห็นตักเตือนรัฐบาลว่า จะต้อง ใช้ความระมัดระวังอย่างยิ่งยวด และควรทำเมื่อมีความจำเป็นจริงๆเท่านั้น

สำหรับกรณีที่มีการเสวนากันนี้ เห็นได้ชัดเจนว่าการบิดเบือนได้ส่งผลอย่างกว้างขวางออกไปถึงประเทศเพื่อนบ้านด้วย

หากจะบิดเบือนภายในและรัฐบาลจะต้องขาดทุนสูญเสียไปบ้าง  แม้จะ ไม่สมควร แต่หากเสียเพื่อคนไทยที่ยากจน ก็ยังจะกัดฟันทนได้

นี่กลายเป็นเสียเพื่อคนอื่น...ใครจะทนได้ล่ะครับ

พ่อค้าหรือบุคคลที่ร่วมขบวนการบิดเบือน ด้วยการไปนำข้าวจากประเทศอื่นมาจำนำ เพื่อหวังผลกำไรให้แก่ตัวเอง ก็ช่างเป็นคนที่ผมอยากจะใช้คำว่า "สิ้นคิด" โดยสิ้นเชิง
เพราะไม่คิดถึงเหตุผลอะไรเลย  นอกจากความร่ำรวยของตัวเองเท่านั้น

ผมจึงเห็นด้วยอย่างยิ่งที่มีข้อเสนอว่า  จะต้องทบทวนนโยบายทั้ง หลายแหล่ ไม่ว่าจำนำ ประกัน หรือแทรกแซง ฯลฯ กันอย่างจริงจัง เพราะผลร้ายมันเกิดขึ้นดังกรณีเรื่องข้าวที่กำลังพูดกันอยู่นี้

ที่สำคัญที่สุด  ด้วยตัวเลขภาพรวมของการส่งออกข้าว  ที่น่าเป็นห่วงมากถึงขนาดว่า  เวียดนามขึ้นมาหายใจรดต้นคอและมีสิทธิจะแซงเราได้ ในปีหน้าปีโน้น ที่กล่าวถึงตอนต้น
จะนิ่งดูดายไม่ได้แล้วนะครับ  และไม่ควรจะเป็นแค่เสวนาเล็กๆ  จัดโดยสมาคมสื่อมวลชนเกษตรฯของเพื่อนๆผมเท่านั้น

ควรจะเป็นเรื่องใหญ่ระดับ "วาระแห่งชาติ" จัดโดยรัฐบาลไทยด้วยซ้ำไป.

"ซูม"

...