“พีระพันธุ์” ออกบทความเผยแพร่บนเว็บไซต์ ปชป. ไม่เอาเปิดคุกการเมือง ชี้ ยังมีคุกทหารรองรับ งงกรมคุกกลับลำ ชงหลังหารือ “เพรียวพันธ์”...
เมื่อวันที่ 12 ก.ย. เว็บไซต์พรรคประชาธิปัตย์ได้เผยแพร่บทความเรื่อง “คุกใหม่กับนักโทษการเมือง?” เขียนโดยนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค อดีต รมว.ยุติธรรม ซึ่งแสดงความไม่เห็นด้วยกับการใช้โรงเรียนพลตำรวจบางเขน เป็นสถานที่คุมขังนักโทษการเมือง นักโทษคดีความมั่นคง และนักโทษต่างชาติที่รอการส่งตัวกลับประเทศ เพื่อแก้ไขปัญหายาเสพติดและความแออัดในเรือนจำ โดยในบทความระบุว่า สมัยที่ตนเป็น รมว.ยุติธรรม กรมราชทัณฑ์ไม่เคยเสนอใช้โรงเรียนดังกล่าวเพื่อแก้ปัญหาความแออัด แต่กลับเสนอให้ยกเลิกการใช้โรงเรียนพลตำรวจบางเขน ตามที่ฝ่ายตำรวจขอมาถึง 2 ครั้ง โดยอ้างว่า กรมราชทัณฑ์ไม่ค่อยได้ใช้ประโยชน์สถานที่ดังกล่าว หากเก็บไว้ก็จะสิ้นเปลืองงบประมาณ ตนจึงลงนามประกาศยกเลิกการเป็นเรือนจำชั่วคราวของโรงเรียนพลตำรวจบางเขน
จนถึงปัจจุบัน ตนยังไม่เห็นเหตุผลความจำเป็นที่ต้องใช้โรงเรียนพลตำรวจบางเขนเพื่อแก้ไขดังกล่าวและความแออัดของคุก นอกจากจะเป็นคนละเรื่องกันแล้ว เรายังไม่มีนักโทษการเมือง และนักโทษคดีความมั่นคงกับนักโทษที่รอส่งตัวกลับประเทศ ก็มีจำนวนน้อยมากเกินกว่าที่จะก่อให้เกิดปัญหาความแออัด โดยมีเพียง 1-2 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น การแก้ปัญหาดังกล่าวจึงเหมือนกับการเอาน้ำเปล่าหยิบมือเดียวไปเทลงทะเลเพื่อ แก้ปัญหาความเค็ม และหากมีปัญหาจริง ก็ยังมีเรือนจำทหารที่ประกาศสำรองไว้แล้วถึง 3 แห่ง รองรับอยู่ แถมการประกาศใช้โรงเรียนพลตำรวจบางเขนเป็นเรือนจำหรือคุกนั้น ยังจะทำให้กรมราชทัณฑ์มีปัญหาด้านกำลังเจ้าหน้าที่และด้านงบประมาณ ที่มีไม่เพียงพออยู่แล้วนั้น ให้มีปัญหามากขึ้นไปอีกด้วย
ทั้งนี้ บทความของนายพีระพันธุ์ ยังระบุด้วยว่า เหตุใดกรมราชทัณฑ์เพิ่งจะนึกได้ว่าจะใช้แนวทางนี้แก้ปัญหาความแออัดในเรือน จำ หลังจากที่ได้ประชุมร่วมกันกับคณะของตำรวจที่มี พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ รรท.ผบ.ตร.เข้าร่วมด้วย ที่สำคัญผู้บัญชาการตำรวจสันติบาล (ผบช.ส.) หรือผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (ผบช.ก.) ต้องตอบให้ได้ว่า ความจำเป็นที่ฝ่ายตำรวจต้องใช้โรงเรียนพลตำรวจบางเขนที่แจ้งยืนยันและขอคืนมายังกรมราชทัณฑ์ถึง 2 ครั้งนั้น หายไปไหนแล้ว ในส่วนของนักโทษ ปัจจุบันเราไม่มีนักโทษการเมือง ในการควบคุมตัวของเรือนจำใดๆ ของกรมราชทัณฑ์ ที่ผ่านมา มักจะสับสน เกี่ยวกับความหมายของนักโทษการเมือง โดยเหมารวมว่าคดีที่นักการเมืองเป็นผู้ต้องหาจะเป็นคดีการเมือง ซึ่งความจริงไม่เกี่ยวกัน เพราะไม่ว่าผู้นั้นจะเป็นใครหากกระทำความผิด อาญาแผ่นดินที่มีโทษจำคุกตามกฎหมายแล้ว ผู้นั้นจะเป็นผู้ต้องหาในคดีอาญาเหมือนผู้กระทำความผิดอื่นทั่วๆไป การที่ผู้นั้นเป็นนักการเมืองแล้วไปกระทำความผิดที่มีโทษอาญาไม่ทำให้คดี นั้นเปลี่ยนจากคดีอาญาเป็นคดีการเมืองและไม่ทำให้ผู้นั้นเปลี่ยนสถานะจาก นักโทษคดีอาญาเป็นนักโทษการเมือง.
...