“สุเทพ” งง แถลงการณ์กัมพูชา ปูด ถกลับผลประโยชน์ แจงละเอียดยิบพบ 2 ครั้ง ในฐานะรองนายกรัฐมนตรี ปัดไม่มีเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน...
ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ส.ส.สุราษฎร์ธานี กล่าวถึงกรณีที่องค์กรปิโตรเลียมแห่งชาติ ภายใต้การกำกับดูแลของนายซก อาน รองนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ออกแถลงการณ์ระบุว่า นายสุเทพ ไปเจรจาเกี่ยวกับเรื่องผลประโยชน์ทางทะเลกับทางนายซก อาน มีการระบุว่า เป็นการเจรจาในทางลับ พร้อมตั้งข้อสังเกตว่ารัฐบาลประชาธิปัตย์ มีประเด็นเรื่องผลประโยชน์หรือไม่ แล้วไปกล่าวหารัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ หรือไม่ ว่า ตนไม่ได้ดูแถลงการณ์ว่า เขาพูดรายละเอียดว่าอย่างไร ขณะนั้นนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกฯได้มอบหมายเป็นมติที่ประชุม ครม.ว่า ให้ตนเป็นผู้รับผิดชอบในการเจรจาประสานงานกับทางรัฐบาลกัมพูชาในกรณีต่างๆ ซึ่งตนได้เดินทางไปกัมพูชา 2 ครั้ง พบสมเด็จฮุนเซน นายกฯครั้งหนึ่ง เจรจากันเรื่องที่สมเด็จฮุนเซน รับปากกับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกฯไว้ เกี่ยวกับการแลกเปลี่ยนนักโทษ หลังจากนั้นสมเด็จ ฮุนเซนได้ปล่อยนักโทษชาวมุสลิมไทยกลับมา 2 คน
นายสุเทพ กล่าวต่อว่า ครั้ง ที่ 2 ตนเป็นตัวแทนรัฐบาลไทยไปทำพิธีเปิดถนน ที่รัฐบาลไทย โดยได้ให้เงินช่วยไป คราวนั้นสมเด็จฮุนเซน ได้บอกว่า วันนี้ รองนายกฯซก อาน ไม่ได้มาด้วย แต่ได้บอกว่านายซก อานจะเป็นผู้เจรจากับตนในเรื่องทั้งหลาย ตนก็พยายามติดต่อนัดหมายเชิญนายซก อาน มาประเทศไทยมาเป็นแขก เพื่อจะได้คุยและเริ่มต้นนับหนึ่งการเจรจากันอย่างไร ท่านก็บอกว่ายังไม่สะดวกที่จะมาประเทศไทยขอคุยนอกรอบก่อนได้ไหม นายซก อาน ได้ถามตนว่า มีโอกาสที่จะไปสิงคโปร์บ้างไหม ตนก็ได้บอกว่า ไม่มีกำหนดการที่จะไป แต่จะไปฮ่องกง ดังนั้นเขาเองก็แจ้งกลับว่าจะไปขอพบที่ฮ่องกง ที่สุดก็ได้ไปพบกันที่ฮ่องกง ได้นั่งคุยกันว่า เราจะเป็นหัวหน้าคณะทั้ง 2 ฝ่าย โดยขอให้จัดการประชุมรอบแรก จะคุยกันในเรื่องที่ค้างคากันอยู่จากรัฐบาลก่อนๆ ซึ่งก็มีเรื่องการพัฒนาทรัพยากรในทะเลด้วย ทั้งนี้ นายซก อาน ได้เคยพูดคุยกับรัฐบาลก่อนๆมาแล้วว่า ได้คุยกับใครมาอย่างไร วางแนวทางขีดเป็นโซนๆ อย่างไร ด้านที่อยู่ติดประเทศก็จะให้ประเทศไทยได้ประโยชน์มาก ด้านที่อยู่กับกัมพูชา กัมพูชาก็จะได้ประโยชน์มาก ตรงกลางแบ่งครึ่งๆ ยกมาอธิบายให้ตนฟัง แต่ว่าท่านก็บอกว่า ทั้งหมดเป็นความเห็นส่วนตัว อยากจะแบ่งเป็นตารางหมากรุก แล้วจับฉลากว่าใครได้ตรงไหน อย่างไร จะได้ไปบริหารจัดการได้ ตนจึงได้บอกนายซก อาน ไปว่า ทั้งหมดต้องไปเจรจากันที่ประเทศไทย ให้ไปทำการบ้านมา เพราะตนทราบว่า ท่านมีอะไรในใจ ซึ่งเมื่อเดินทางถึงประเทศไทยก็มีการกำหนดกรอบ และตนต้องทำเรื่องเสนอเข้าที่ประชุมรัฐสภาเพื่อขออนุมัติ หากอนุมัติในกรอบที่กล่าวไป ก็สามารถเดินหน้าต่อไปได้ นอกจากนั้นมีเรื่องการขอบริหารพื้นที่ ซี่งตนได้บอกว่า ถ้าเราคิดถึงเรื่องที่จะร่วมมือพัฒนาพื้นที่ น่าจะเอาบริเวณรอบๆเขาพระวิหาร มาทำในลักษณะเดียวกัน คือ เป็นความร่วมมือของทั้ง 2 ประเทศ
นายสุเทพ กล่าวต่อว่า เมื่อเดินทางกลับไทย ก็ได้ทำหนังสือเป็นทางการเชิญนายซก อาน ให้มาร่วมประชุมที่ไทย แต่ไม่ทันได้มีความก้าวหน้า ก็เกิดความสัมพันธ์ที่ไม่ดีระหว่าง 2 ประเทศขึ้นก่อน จึงยกเลิกเอ็มโอยูก่อน จนทุกวันนี้หนังสือเชิญก็ยังเปิดอยู่ ส่วนครั้งที่ 2 ตนได้รับเชิญพร้อมเพื่อนอีกหลายคนไปประชุมที่เมืองคุนหมิง ประเทศจีน ในเรื่องการแก้ไขปัญหาความยากจนของประชาชนในงานดังกล่าว นายซก อาน เป็นตัวแทนกัมพูชาก็มีการนัดคุยกัน แต่ถามทุกข์สุขเพราะความสัมพันธ์ไทยกัมพูชาไม่ค่อยดี ส่วนที่ว่าเป็นเรื่องลับไม่เปิดเผย เพราะ 2 ประเทศหงุดหงิดกันอยู่นั้น ตามมารยาทคนรู้จักกันก็ได้พบกัน ตนยังได้กล่าวฝากความรำลึกไปถึงสมเด็จฮุนเซนด้วยและยังยืนยันว่าประเทศไทยต้องการแก้ไขปัญหาความสัมพันธ์ที่ไม่ดีของ 2 ประเทศ โดยวิธีการเจรจา สะดวกเมื่อไรขอให้นัดมา ประเทศไทยพร้อมที่จะเป็นเจ้าภาพ ทั้งหมดมีเท่านี้
ผู้สื่อข่าวถามว่า การเจรจาดูเหมือนจะเป็นในลักษณะที่นายซก อาน ติดต่อมาเอง นายสุเทพ กล่าวว่า จริงๆแล้วตนติดต่อไปเพื่อเชิญมาประเทศไทย แค่เขาบอกว่า ยังไม่สะดวกที่จะมาไทย ส่วนที่เขาออกมากล่าวหานั้น ตนคงไม่ไปตำหนิอะไรตอนนี้ เพราะ ไม่ได้ยินหรือได้เห็นแถลงการณ์ตัวจริงว่า ใครแถลง และแถลงว่าอย่างไร และคิดว่าไม่ได้เป็นความลับอะไร เพราะเวลาจะเจรจาเรื่องสำคัญๆของบ้านเมืองต้องมีการคุยกันนอกรอบก่อน และเรื่องนี้ก็มีการเจรจาไม่ใช่เป็นเรื่องลึกลับ เพราะไม่มีทางที่จะไปทำกันอย่างลับๆในเรื่องการตกลงเรื่องผลประโยชน์นั้น คงทำไม่ได้ ถึงเวลาที่พรรคเพื่อไทยมาเป็นรัฐบาลเวลาไปเจรจานอกรอบกันอย่างไรก็ตามใจ แต่ว่าถึงเวลาก็ต้องมาขออนุมัติต่อรัฐสภาว่า จะเจรจาในประเด็นใดบ้างอย่างไร และเมื่อถึงวันนั้น เราก็มีโอกาสสอบถามได้
เมื่อถามว่า ในแถลงการณ์ดูเหมือนมีการระบุว่าพรรคประชาธิปัตย์ ไม่มีความชอบธรรมที่จะไปกล่าวหาทางรัฐบาลนี้ เพราะรัฐบาลประชาธิปัตย์ อาจมีปัญหาเรื่องผลประโยชน์มากกว่าจึงมีการเจรจาในทางลับ นายสุเทพ กล่าวว่า หากมีการกล่าวหาแบบนี้ ก็คงต้องตอบโต้ แต่ขณะนี้คงยังไม่รีบตอบโต้ เพราะยังไม่เห็นคำแถลงการณ์ แต่ถ้าพูดแล้วทำให้ตนเสียหาย ก็ต้องต่อว่าเขาว่า ทำอย่างนี้แปลว่าอะไร แต่อยากจะบอกว่าตนไม่คิดว่าจะไปกล่าวหารัฐบาลปัจจุบันในเรื่องอะไร เพียงแต่ว่าคนที่ไปวิจารณ์ อาจจะมองว่า หากเป็นพ.ต.ท.ทักษิณเป็นคนไปเจรจา พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ใช่ผู้ที่มีสถานภาพที่รัฐบาลมอบหมายให้เป็นตัวแทนไปเจรจาอย่างเป็น กิจจะลักษณะ อย่างนั้นอาจจะมีคนวิจารณ์ได้
เมื่อถามต่อว่า ตรงนี้จะมองได้ว่า พรรคประชาธิปัตย์เองก็มีผลประโยชน์ทับซ้อนทางทะเล นายสุเทพ กล่าวว่า ยืนยันว่าทั้งตนและพรรคประชาธิปัตย์ไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อน ผลประโยชน์ทับซ้อนเป็นเรื่องของ 2 ประเทศ พื้นที่ที่เราอ้างว่าเป็นของเรา เขาก็อ้างว่าเป็นของเขานั่นคือ การทับซ้อน ที่เป็นเรื่องที่ต้องเจรจากัน การไปเจรจาเรื่องอย่างนี้ ไม่มีทางที่ใครจะไปทำให้เป็นเรื่องประโยชน์ส่วนตัวได้ เพราะต้องให้สาธารณชนรับรู้ได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภา เมื่อถามว่ามีการแขวนเอ็มโอยูปี 2544 แล้ว ทำไมยังให้นายสุเทพ เป็นหัวหน้าคณะกลับไปเป็นประธานการประชุม พื้นที่ทับซ้อนทางทะเล(เจดีอี) อีกครั้ง นายสุเทพ กล่าวว่า คงไม่ใช่ และการเป็นหัวหน้าคณะการเจรจาหมายความว่าเวลาตนไปพูดคุยเรื่องอะไรทางประเทศไทยจะให้ตนไป ให้ตนเป็นคนติดต่อ แต่หลังเลิก เอ็มโอยู แล้วก็ไม่มีการตั้งตนเป็นอะไรแล้ว ตนไม่ทราบเลย เรื่องที่ตนเป็นหัวหน้าคณะการประชุมเจดีอี ส่วนเรื่องที่มีความสัมพันธ์ที่ไม่ราบรื่นจนถึงมีการเรียกทูตกลับ มีการแขวนเอ็มโอยูไว้ ตนคิดว่าเป็นขั้นตอนของการแสดงออกทางความสัมพันธ์ว่า ระดับความสัมพันธ์ตึงเครียด แต่ในส่วนของตนมีหน้าที่ว่าทำอย่างไรให้เขาดีกันให้ได้ 2 ประเทศต้องดีกัน ตนก็ต้องพยายามหาทางให้เขาพูดคุยกันเวลาสมเด็จฮุนเซน มาประเทศไทยแต่ละครั้งตนก็ต้อนรับขับสู้ดูแลทำไปตามหน้าที่ และตนยินดีอย่างยิ่งถ้าความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับกัมพูชาดีกันได้ เพราะถ้าสัมพันธ์ไม่ดีเกิดความตึงเครียดชายแดนยิงกันประชาชนก็เดือดร้อน อะไรที่ทำให้ความสัมพันธ์ดีขึ้นก็ต้องทำ
“เรื่องในทะเลถ้าถามผม ผมสนับสนุน เพราะเรามีทรัพยากรในทะเล 2 ประเทศ ควรจะร่วมมือกันพัฒนาเอามาใช้ประโยชน์ ไม่ต้องทะเลาะกัน เราเคยมีตัวอย่างที่เคยทำมาแล้วเช่น มาเลเซียและ เวียดนาม กับกัมพูชาคงต้องเดินหน้าต่อไป แนวทางการเจรจาจะเป็นอย่างไรอยู่ที่ทีมการเจรจา ทั้ง 2 ฝ่าย และจุดยืนของรัฐบาลทั้ง 2 ฝ่ายว่าจะทำไอย่างไร ที่ผมเล่าให้ฟังคือแต่ละฝ่ายแต่ละความคิดเห็นเป็นอย่างไร “ นายสุเทพ กล่าว
และว่า ส่วนที่หลายฝ่ายมีความเป็นห่วงในเรื่องการประกาศพื้นทีทับซ้อนที่ทางไทยอาจจะเสียเปรียบกัมพูชานั้น ตนเชื่อว่า คงไม่เกิดขึ้น เพราะเจ้าหน้าที่ของไทยไม่ว่า กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงพลังงาน เป็นผู้ที่มีประสบการณ์ในการเจรจาไม่ยอมให้ประเทศๆไทยเสียเปรียบง่ายๆ อย่างไปกังวลใจ ไม่มีใครไปทำให้เสียหายได้
...