คนไทยเกิดอาการใจตุ๊มๆต่อมๆกันเป็นทิวแถว เมื่อปรากฎกระแสข่าวว่า คณะผู้พิพากษาทั้ง 15 คน กรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ อาจจะตัดสินในไทยต้องถอนทหารจากปราสาทพระวิหารและพื้นที่รอบปราสาท ในช่วงบ่ายๆของวันนี้ ประมาณ 15.00 น. ตามเวลาในประเทศไทย
ในคดีที่กัมพูชา ยื่นให้ศาลโลกตีความขอบเขตของคำพิพากษาปราสาทพระวิหารเมื่อปี 2505 หากผลปรากฎออกมาว่า คำพิพากษาเป็นไปตามที่สำนักข่าวบางสำนักในต่างประเทศรายงานข่าวออกมาจริง ก็ไม่อยากคิดว่า สถานการณ์ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ด้าน อ.กันทรลักษณ์ จ.ศรีสะเกษ เรื่อยไปถึง จ.สุรินทร์ จะเกิดตึงเครียดขึ้นหรือไม่ รวมถึงไทยเองจะมีนโยบายดำเนินการอย่างไรต่อไปกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างกัมพูชา
ทั้งนี้จะกลายเป็นงานเข้า สำหรับรัฐบาลรักษาการของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และนายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ ทิ้งท้ายทันที ก่อนจะอำลาตำแหน่งอย่างเป็นทางการ และมีการส่งมอบให้กับ รัฐบาลปู1 นส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ว่าที่นายกรัฐมนตรีหญิง คนแรกของไทย เพราะประชาชนไทยคงไม่ยอมรับกับคำตัดสินของศาลโลกแน่ ถึงแม้ต้องปฏิบัติก็ตาม หากปรากฎผลออกมาเป็นอย่างที่สำนักข่าวต่างประเทศอ้าง เพราะนั่นหมายถึงการสูญเสียดินแดน 4.6 ตร.กม.ของประเทศไปตลอดกาล
...
ขณะรัฐบาลที่กำลังจะเข้ารับตำแหน่ง ของ นส.ยิ่งลักษณ์ ขณะนี้รอ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) รับรองการเป็นส.ส. อยู่ก็"งานเข้า"เช่นกัน เพราะเมื่อเข้าทำงานปุ๊ป! ก็ต้องพิสูจน์ฝีมือ ตามแก้ปัญหาใหญ่ระดับประเทศทันที
แม้มีการมองกันว่า รัฐบาลชุดใหม่เพื่อไทย มีสายสัมพันธ์อันดีกับประเทศเพื่อนบ้าน ทำให้การเจรจาน่าจะง่ายกว่ารัฐบาลชุดเก่า แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า จะต้องทำตามคำต้องการของกัมพูชา เพราะที่สำคัญที่สุดคือ ต้องรักษาผลประโยชน์ของประเทศ โดยเฉพาะนส.ยิ่งลักษณ์น้องสาวของพ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีเอง ยิ่งจะต้องระมัดระวัง เพราะกรณีข้อพิพาท ความขัดแย้งระหว่าง ไทย-กัมพูชา เกี่ยวพันกับข้อครหาเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน น้ำมันและก๊าซธรรมชาติ ในอ่าวไทย ของพี่ชายสมัยดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรีโดยตรง
เพราะเมื่อประมาณอาทิตย์ที่แล้ว เว็บไซต์หนังสือพิมพ์พนมเปญโพสต์ รายงาน เอกสารลับทางการทูตใน เว็บไซต์จอมแฉ "วิกิลีกส์" นำมาเผยแพร่ กล่าวถึงรายละเอียดการไปเยือนกรุงพนมเปญของสภาธุรกิจสหรัฐ-อาเซียน และร่วมประชุมกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงกัมพูชาว่า ผู้แทนยักษ์ใหญ่บ.เอกชน ด้านพลังงาน ได้เรียกร้องให้รัฐบาลกัมพูชา หาทางคลี่คลายข้อพิพาทพื้นที่ทับซ้อนในอ่าวไทย เพราะบริษัทฯ ถือสัญญาสำรวจพื้นที่ดังกล่าวเป็นเวลาเกือบสิบปี
ระหว่างการประชุมครั้งนั้น เจ้าหน้าที่ระดับสูงกระทรวงการต่างประเทศกัมพูชา ได้แจ้งต่อบริษัทฯว่า รัฐบาลไทยกับกัมพูชาเกือบได้ข้อยุติในเรื่องนี้ ไม่นานนักก่อนรัฐบาลของ พ.ต.ท.ทักษิณ จะถูกยึดอำนาจเมื่อปี 2549 โดยทั้งสองเห็นพ้องกัน ในหลักการแบ่งรายได้ในพื้นที่ใกล้ไทยมากที่สุด สัดส่วนไทย 80% กัมพูชา 20% ส่วนพื้นที่ตรงกลางแบ่ง 50-50 และสัดส่วนไทย 20% กัมพูชา 80% สำหรับพื้นที่ใกล้ฝั่งกัมพูชา
เอกสารที่รั่วอีกฉบับ ซึ่งให้รายละเอียดการประชุมเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกัมพูชากับผู้บริหารระดับสูงของ บ.น้ำมันยักษ์ใหญ่เช่นกัน เอกสารระบุว่า บริษัทที่ขุดเจาะและสำรวจบ่อน้ำมันส่วนที่เรียกว่า "บล็อค เอ" นอกชายฝั่งของกัมพูชา มีความสนใจอย่างมากในการได้รับสิทธิในการสำรวจบ่อน้ำมันในพื้นที่ทับซ้อน โดยผู้บริหาร บ.น้ำมันดังกล่าว ระบุว่า พื้นที่ทับซ้อนในอ่าวไทยนั้น เป็นหนึ่งในพื้นที่ที่ดีที่สุดในโลกสำหรับการสำรวจ และอาจเปลี่ยนแปลงกัมพูชาแบบพลิกโฉม ส่วน"บล็อค เอ"นั้น ไม่มีความสำคัญพอที่จะสำรวจและทำกำไรได้โดยลำพัง
หลัง พ.ต.ท.ทักษิณถูกโค่นอำนาจ กรณีพิพาทน่านน้ำทับซ้อนแทบไม่มีความคืบหน้า ประกอบกับการตั้ง พ.ต.ท.ทักษิณเป็นที่ปรึกษาเศรษฐกิจของกัมพูชาเมื่อปี 2552 ยิ่งสร้างปัญหามากขึ้น เมื่อคณะรัฐมนตรีไทยได้ยกเลิกบันทึกความเข้าใจฉบับหนึ่งที่ลงนามในปี 2544 โดยอ้างว่าบทบาทใหม่ของอดีตนายกฯทักษิณ ทำให้สถานะการเจรจาของไทยเสียเปรียบ
เอกสารสถานทูตอีกฉบับ ยังกล่าวอย่างชัดเจนในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่าง พ.ต.ท.ทักษิณกับกัมพูชาระบุว่า "การไปเยือนพนมเปญของทักษิณฯ ถูกนักสังเกตการณ์ส่วนใหญ่ มองว่า เป็นความต่อเนื่องของ พ.ต.ท.ทักษิณและสมเด็จฯ ฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ในการใช้กันและกันเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว"
เมื่อมีข่าวลักษณะนี้ออกมา นส.ยิ่งลักษณ์ ว่าที่นายกรัฐมนตรีหญิง ที่กำลังจะเข้ารับตำแหน่ง ยิ่งต้องดำเนินการให้เห็นว่า กระทำทุกอย่างเพื่อประโยชน์ของชาติ และไม่ได้อยู่ใต้เงาหรือคำบงการของ"นายห้างตราดูไบห่่อ" แต่ถ้าศาลโลกตัดสินออกมาแนวทางเป็นคุณกับไทยเรื่องก็จบ"ยิ่งลักษณ์"ก็ลำบากใจน้อยลง เพราะมีข่าวอีกกระแสระบุว่า ศาลโลกจะตัดสินคุ้มครองชั่วคราว เฉพาะตัวปราสาท แต่จะไม่เข้าไปยุ่งในส่วนพื้นที่ทับซ้อนเจ้าปัญหา 4.6 ตร.กม.แต่อย่างใด
ผลประโยชน์มหาศาลทางทะเล เกี่ยวพันถึงเส้นเขตแดนของประเทศ นำมาซึ่งการอ้างเป็นเจ้าของพื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตร.กม.ระหว่างไทย-กัมพูชา และการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกของกัมพูชาแต่เพียงฝ่ายเดียว เกิดปะทะกันตามแนวชายแดนนำมาซึ่งสูญเสียทั้ง 2ฝ่าย และทำให้ไทยต้องสุ่มเสี่ยงสูญเสียอธิปไตย ผลกำลังจะปรากฎออกมาในช่วงบ่ายของวันนี้ นับถอยหลัง...แล้วรอลุ้นระทึก!กันได้เลย...