“เฟซบุ๊ก” เป็นพิษ

จากเจตนารมณ์ที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ จั่วหัวประเดิม “เกมยุทธ์เชิงการตลาด” ใช้โซเชียลเน็ตเวิร์ก “ขายตรง” ถึงบรรดากองเชียร์แม่ยก พ่อยก

“ผมพยายามสื่อสารกับพี่น้องประชาชนอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เกิดการมีส่วนร่วมและความเข้าใจในการทำงานของผม แต่ที่ผ่านมาผมหลีกเลี่ยงที่จะพูดถึงเหตุการณ์ทางการเมืองที่มีความละเอียดอ่อน เพราะผมพยายามลดเงื่อนไขความขัดแย้ง แต่ขณะนี้สื่อมวลชนบางส่วนเสนอข้อมูล ข้อคิดที่คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง ผมจึงจำเป็นต้องทำบันทึกชุดนี้เพื่อเป็นหลักฐาน และเพื่อประโยชน์ในการตัดสินใจชี้ชะตาอนาคตของประเทศโดยพี่น้องทุกคนในเร็วๆนี้”

พยายามลดเงื่อนไขความขัดแย้ง แต่การณ์กลับกลายเป็นจุดชนวน

“ฟื้นฝอย” ทะเลาะกับพรรคร่วมรัฐบาล

จากเวอร์ชั่นแรกที่เปิดฉากเหน็บ “บิ๊กเติ้ง” นายบรรหาร ศิลปอาชา หลงจู๊ใหญ่พรรคชาติไทยพัฒนาพาดพิงไปถึงนายเนวินชิดชอบ“ครูใหญ่”พรรคภูมิใจไทยที่ออกมาทวงสัญญาลูกผู้ชายเป็นทำนองว่า เป็นนักการเมืองต้องทำเพื่อพี่น้องประชาชนทุกคน ไม่ใช่เพื่อประโยชน์ของพรรคพวกหรือคนๆเดียว

แสดงตัวตนของคนชื่อ “อภิสิทธิ์” ไม่เคยลดราวาศอกให้ใคร

มาถึงเวอร์ชั่น “จากใจอภิสิทธิ์ถึงคนไทยทั้งประเทศ” ที่ย้อนอดีตเคลียร์ตัวเองกันตั้งแต่เริ่มฟอร์มรัฐบาล “อภิสิทธิ์ชน” เคลียร์ปัญหาค้างคาใจ ไล่กันมาตั้งแต่เบื้องหลังคดียุบพรรคพลังประชาชน อันเป็นที่มาของการ “สลับขั้ว” พรรคประชาธิปัตย์มีโอกาสจัดตั้ง “รัฐบาลเทพประทาน”

“อภิสิทธิ์” เฟ้นเอาเฉพาะส่วนดีเอาไว้กับตัว

“ผมคิดว่าแม้คนไทยจะตะขิดตะขวงใจกับการที่ผมไปทำงานกับพรรคร่วมรัฐบาลเดิม แต่คนที่คิดอยู่ในระบบย่อมเข้าใจว่า เรามีผู้เล่นอยู่เท่านี้ ไม่สามารถเปลี่ยนผู้เล่นได้ เพราะคนที่จะเปลี่ยนผู้เล่นคือประชาชน เมื่อเปลี่ยนผู้เล่นไม่ได้ ผมก็ต้องจัดทีมจากผู้เล่นที่มีและดูแลให้ผู้เล่นเหล่านั้นเดินตามกติกาที่ผมวางไว้”

พูดกันเป็นนัย จำใจเลือกพรรคร่วมรัฐบาลเข้ามาเพราะไม่มีตัวเลือก

เล่น “โยนชั่ว” ให้เพื่อนรับไปซะขนาดนี้ ก็ไม่แปลกที่นายชุมพล ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา จะออกอาการฉุนกึก “ย้อนเกล็ด” กันแบบเลือดสาด

“ไม่ใช่ว่าพรรคชาติไทยพัฒนาอยากร่วมรัฐบาล ถ้าไม่ถูกบังคับก็ไม่เลือกแน่ เราถูกบีบด้วยพลังที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ก็ต้องมาร่วมผมไม่สบายใจขอสะกิดไว้หน่อย  บรรยากาศการเลือกตั้งต้องนำความสงบไปสู่หลังการเลือกตั้ง มีปัญหากับฝ่ายค้านแล้วอย่าให้มีปัญหากับพรรคร่วมอีก มันจะไปกันใหญ่”

“ถูกบีบด้วยพลังที่มองไม่เห็น”

“จบข่าวเลย” คนระดับนายชุมพล ที่อีกสถานะหนึ่งเป็นนักวิชาการ อาจารย์สอนหนังสือมหาวิทยาลัย มีเครดิตมากกว่านักเลือกตั้งอาชีพทั่วไป เปิดปากแฉเอง เบื้องหลังการสลับขั้ว เปิดทางรัฐบาล “อภิสิทธิ์ชน” มีคนกำกับฉากอยู่เบื้องหลัง

ตอกย้ำภาพการจัดตั้งรัฐบาล “เทพประทาน” ในค่ายทหาร

และก็เป็น “อภิสิทธิ์” ที่แบไต๋ออกมาเอง จากข้อความตอนหนึ่งในเฟซบุ๊ก“ช่วงเวลานั้นนายพสิษฐ์ศักดาณรงค์อดีตเลขานุการประธานศาลรัฐธรรมนูญ ติดต่อผ่าน ส.ส.คนหนึ่ง เพื่อขอพบผม เพราะมีธุระอยากพูดคุยด้วย เราก็ได้พบกันที่ร้านอาหารใกล้พรรคประชาธิปัตย์

โดยคุณพสิษฐ์บอกผมว่า พรรคพลังประชาชนจะถูกยุบนะ ผมก็เพียงแต่รับฟัง คุณพสิษฐ์บอกกับผมว่าที่เล่าให้ฟังเพราะคิดว่าจะเป็นประโยชน์กับพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งผมตอบกลับไปว่า การยุบพรรคพลังประชาชนหรือไม่ เป็นเรื่องของเนื้อคดีและดุลพินิจของศาลรัฐธรรมนูญ แม้แต่วันนั้นผมก็ยังบอกเขาเลยว่าหากยุบพรรคพลังประชาชน ผมก็คิดว่าไม่ได้เป็นประโยชน์หรือเกี่ยวข้องกับประชาธิปัตย์ เพราะผมเชื่อว่าพรรคร่วมรัฐบาลเดิมก็คงจับมือกันเป็นรัฐบาลต่อ”

ตามจังหวะที่นายพสิษฐ์ให้สัมภาษณ์พิเศษไล่หลังในหนังสือ พิมพ์มติชนฉบับประจำวันที่ 10 มิถุนายน ฉายซ้ำ “คลิปลับ” วันนัดพบ “ผู้นำฝ่ายค้าน”

จับประโยคสนทนา ใกล้เคียงกับช็อตเบื้องหลังที่นายอภิสิทธิ์ถ่ายทอดออกมา

เรื่องของเรื่อง ประเด็นสำคัญมันอยู่ตรงที่ว่า “อภิสิทธิ์” กับ “พสิษฐ์” มีการนัดพบกันจริงๆในห้วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อ และผลออกมาก็เป็นไปตามที่มีการเจรจาความกัน

มันก็ชัด มีขบวนการ “ล็อบบี้” อยู่ฉากหลัง

เถียงไม่ขึ้น รัฐบาล “อภิสิทธิ์” ก่อกำเนิดมาจาก “พลังที่หลีกเลี่ยงไม่ได้”.

...

ทีมข่าวการเมือง