ครม.ทิ้งทวน ชงขออนุมัติงบกลางเพียบสารพัดโครงการ"กรณ์" ชงขึ้นเงินเดือนพิเศษ ขรก.ร่วมเข็นโครงการประชาวิวัฒน์ ศธ.ทุ่ม 1.5 หมื่นล้าน ลุยเร่งด่วนปฏิรูปศึกษาทศวรรษสอง ด้าน กห.ส่งท้ายซื้อรถถังยูเครนล็อต 2 วงเงิน 7.2 พันล้าน ด้าน กกต.ของบ 3,817 ล้านจัดเลือกตั้ง...

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุมครม. วันที่ 3 พ.ค. ซึ่งเป็นนัดส่งท้ายก่อนที่จะยุบสภาเพื่อเลือกตั้งใหม่นั้น ปรากฎว่ามีการเสนอเรื่องเข้าสู่ครม.เพื่อขออนุมัติงบประมาณจำนวนมาก อาทิ เช่น กระทรวงการคลังขอความเห็นชอบการพิจารณาบำเหน็จความชอบกรณีพิเศษ ให้แก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานในระดับสูงเฉพาะราย ในแผนปฏิบัติการปฏิรูปประเทศไทยในของการปฏิบัติการประชาวิวัฒน์ 40 ราย โดยกรณีของข้าราชการ ให้ได้รับเลื่อนเงินเดือนร้อยละ 4 (ครึ่งปีของฐานในการคำนวณ) หรือเลื่อนขั้นเงินเดือนครึ่งปีแรก 1 ขั้น สำหรับระบบการเลื่อนเงินเเดือนเช่นเดิม ที่ยังไม่ได้เปลี่ยนเป็นระบบร้อยละ และกรณีของหน่วยงานอื่นให้พิจารณาเลื่อนเงินเดือนเป็นกรณีพิเศษตามความเหมาะสม

ด้านกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) ขออนุมัติหลักการสนับสนุนงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 จำนวน 293,610,318 บาท เพื่อเป็นค่าตอบแทนพิเศษเพิ่มเติมในส่วนต่าง ตามอัตราเบี้ยเลี้ยงเดินทางไปราชการที่ปรับเพิ่มด้วย ให้กับกำลังพลของ กอ.รมน. ที่ปฏิบัติการในสนามตามแผน หรือคำสั่งยุทธการตลอด 24 ช.ม. ตั้งแต่วันที่ 22 ธ.ค.53-30ก.ย. 54

ขณะที่กระทรวงศึกษาธิการขออนุมัติแผนงบประมาณขับเคลื่อนการปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษที่สอง (พ.ศ.2555-2561 ) จำนวน 371,598.379 ล้านบาท และกรอบวงเงินงบประมาณเพื่อดำเนินการตามแผน/โครงการขับเคลื่อนการปฏิรูปการศึกษาฯ ในปี 2555 ตามนโยบายเร่งด่วน 10 ประการ จำนวน 15,839.956 ล้านบาท

ส่วนกระทรวงสาธารณสุข ขออนุมัติงบกลางปีงบฯ 2554 จำนวน 415,250,000บาท เพื่อดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการปฏิรูปประเทศไทย กระทรวงสาธารณสุข ได้แก่ โครงการส่งเสริมการตั้งครรภ์อย่างมีคุณภาพ และโครงการ "พ่อแม่มือใหม่ เลี้ยงลูกถูกวิธี"

ทางด้านสำนักงบประมาณขออนุมัติให้กรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น กระทรวง มท. ใช้จ่ายงบกลาง ปีงบฯ 2554 จำนวน 212,655,900 บาท โดยให้เบิกจ่ายในงบอุดหนุน ประเภทเงินอุดหนุนเฉพาะกิจ เพื่อเป็นการให้ความช่วยเหลือเยียวยาแก่เทศบาลนครอุดรธานีในการจัดหาครุภัณฑ์และควบคุมงานก่อสร้างของเทศบาลฯ ที่ได้รับผลกระทบจากการชุมนุมทางการเมือง เมื่อวันที่ 19 พ.ค. 53

ส่วนศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) เสนอขออนุมัติให้ ศอ.บต.เบิกจ่ายงบกลางปีงบฯ 2554 จำนวน 180,688,000บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน ระดับหมู่บ้านจังหวัดชายแดนภาคใต้ (พนม.) ในพื้นที่ 12 อำเภอของ จ.สงขลา

ด้านกระทรวงแรงงาน ยังขออนุมัติงบกลาง ปีงบฯ 2554 จำนวน 200 ล้านบาท เพื่อนำไปดำเนินการด้านการบริหารจัดการ และเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ตามนโยบายการขยายความคุ้มครองประกันสังคม ตามมาตรา 40 (แรงงานนอกระบบ ) แห่งพ.ร.บ.ประกันสังคม พ.ศ. 2533

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะที่กระทรวงคมนาคมขออนุมัติโครงการดำเนินงานบริหารจัดการระบบตั๋วรวม โดยขออนุมัติให้สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) จัดตั้งสำนักงานบริหารจัดการระบบตั๋วรวม เป็นหน่วยงานภายใต้ สนข. ในช่วงเตรียมการ 4 ปีแรกจะใช้จากงบปกติของ สนข. และในปีที่เปิดดำเนินงานในปีที่ 5 เป็นต้นไป ให้จัดสรรงบฯประจำปีในวงเงิน 62.15 ล้านบาท เป็นค่าใช้จ่ายการบริหารจัดการระบบตั๋วร่วม การดำเนินงานตามแผนงานการบริหารจัดการระบบตั๋วร่วม ให้ใช้เงินกู้ธนาคารพัฒนาแห่งเอเชีย (ADB) วงเงินประมาณ 10 ล้านดอลล่าร์ หรือ 300 ล้านบาท และการดำเนินงานจัดทำระบบศูนย์บริหารจัดการรายได้กลาง โดยใช้เงินกู้ ADB วงเงินประมาณ 13 ล้านดอลล่าร์ หรือ 390 ล้านบาท

นอกจากนี้ คค.ยังเสนอให้ ครม.ทราบผลการดำเนินการตามมติ ครม. เรื่องการศึกษาแนวทางและกำหนดมาตรการนำเทคโนโลยีระบบกำหนดตำแหน่งบนโลก ( Global Positioning System : GPS) มาติดตั้งกับรถสาธารณะ ครั้งที่ 1 ซึ่งกำหนดจะติดตั้ง GPS เต็มรูปแบบภายในปี 2558 โดยการดำเนินการในระยะแรกภายในปี 2554 คค.จะขอใช้งบประมาณจากองทุนเพื่อความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน (กปถ.) ของกรมการขนส่งทางบกวงเงิน 10 ล้านบาท

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นอกจากนี้ในส่วนของโครงการหรือเรื่องที่ถือเป็นนโยบายสำคัญนั้น ทางกระทรวงมหาดไทยขออนุมัติให้จัดตั้งสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย อำเภอขึ้นในทุกอำเภอครอบคลุมทุกจังหวัด พร้อมอัตรากำลังของข้าราชการอำเภอละ 3 อัตรา จำนวน 877 อัตรา รวมทั้งสิ้น 2,631 อัตรา ทางด้านสำนักงบปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ขอนำรายงานผลการดำเนินงานของคณะกรรมการพิจารณาแนวทางการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งเห็นควรให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2550 มาตรา 291 เพื่อจัดตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญพิจารณาปรับโครงสร้างการเมือง

และกระบวนการยุติธรรมเสนอให้ ครม.พิจารณา ซึ่งสาระสำคัญของรายงานเห็นควรให้หัวหน้าพรรคการเมืองที่ได้รับคะแนนเสียง สุงสุด จากระบบบัญชีรายชื่อมีสิทธิในการจัดตั้งรัฐบาล และดำรงตำแหน่งนายกฯ ทั้งนี้ฝ่ายบริหารมีอำนาจยับยั้งกฎหมายที่กระทบกับการบริหารงานของรัฐบาล ซึ่งเสนอโดยฝ่ายนิติบัญญัติ และรัฐบาลไม่มีสิทธิยุบสภาผู้แทนราษฎร และสภาผู้แทนราษฎรไม่มีสิทธิอภิปรายเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจนายกฯ หรือรัฐมนตรี การลงสมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส. ไม่จำเป็นต้องสังกัดพรรคการเมือง เป็นต้น

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า อย่างไรก็ตามในส่วนของกระทรวงคมนาคม ในสังกัดของรัฐมนตรีพรรคภูมิใจไทย เป็นที่น่าจับตาเป็นพิเศษว่าเตรียมเสนอ 8 โครงการใหญ่ระดับหลักพันหลักหมื่นล้าน จำนวน 8 โครงการวงเงิน 3.2 หมื่นล้านบาท ได้แก่ 1.โครงการจัดหารถจักรดีเซลไฟฟ้า จีอี 50 คัน วงเงิน 6,563 ล้านบาท 2.โครงการปรับปรุงรถจักร 56 คัน วงเงิน 3,359 ล้านบาท 3.โครงการจัดหารถโดยสารรุ่นใหม่สำหรับบริการเชิงพาณิชย์ 115 คัน วงเงิน 4,981.05 ล้านบาท 4.โครงการก่อสร้างอุโมงค์เชื่อมต่อระหว่างจังหวัดเชียงใหม่-อำเภอหางดง วงเงิน 1,050 ล้านบาท 5.โครงการก่อสร้างถนนราชพฤกษ์ ถนนกาญจนาภิเษก (แนวตะวันออก-ตะวันตก) วงเงิน 2,470 ล้านบาท 6.โครงการสร้างจุดเชื่อมต่อสถานีรถไฟฟ้าเพชรบุรีกับสถานีมักกะสัน วงเงินกว่า 10 ล้านบาท 7.โครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านบริการการเดินอากาศ 4,460 ล้านบาท 8.ขอออกพระราชกฤษฎีกา (พ.ร.ฎ.) เวนคืนที่ดินทางด่วนใหม่ สายศรีรัช-วงแหวนรอบนอก 16.7 ก.ม. ค่าเวนคืน 9,500 ล้านบาท รวมทั้งการขอยกเว้นการใช้ระบบอนุญาโตตุลาการรถไฟฟ้าสายสีแดง (บางซื่อ-รังสิต)

ขณะที่กระทรวงกลาโหม เสนอขออนุมัติจัดซื้อรถถังยูเครนรุ่น Oplot วงเงิน 7.2 พันล้านบาท จำนวน 54 คัน วงเงินงบประมาณ 7,200 ล้านบาท ส่วนกระทรวงพาณิชย์จะเสนอแผนพัฒนาและส่งเสริมตลาดสินค้าอินทรีย์ ปี 2554-2558 กำหนดเป้าหมายให้ไทยเป็นศูนย์กลางสินค้าเกษตรอินทรีย์ในภูมิภาคอาเซียน ด้านกระทรวงคลังขอ 2.8 พันล้านบาท ทำประกันภัยพืชผล

ด้านนายไตรรงค์ สุวรรณคีรี รองนายกฝ่ายเศรษฐกิจ ขออนุมัติงบประมาณ 2.2 พันล้านบาท ดำเนินโครงการปุ๋ยสั่งตัด โดยให้ ธ.ก.ส.ปล่อยกู้ 2-3 หมื่นล้านบาทซื้อปุ๋ย เป็นต้น ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กกต.จะเสนอให้ ครม.พิจารณาให้ความเห็นชอบงบประมาณที่ใช้ในการจัดการเลือกตั้ง เป็นจำนวนเงิน 3,817 ล้านบาท ส่วนปัญหาขัดแย้งไทย-กัมพูชา กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) จะเสนอขอความเห็นชอบการการแต่งตั้งที่ปรึกษากฎหมาย เพื่อเป็นคณะทำงานด้านกฎหมายกรณีปราสาทพระวิหาร จำนวน 3 คน ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายระหว่างประเทศ โดยเป็นทนายชาวฝรั่งเศส แคนาดา และออสเตรเลีย อย่างไรก็ตามทั้ง 3 คน เดิมเป็นที่ปรึกษากฎหมายที่กระทรวงการต่างประเทศ ได้ว่าจ้างเป็นที่ปรึกษาของกระทรวงมาแล้วก่อนหน้านี้

...