พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ผบ.ตร. ยันไม่มี 2 มาตรฐานคุมม็อบ ชมเสื้อแดงคุยง่ายกว่าเสื้อเหลือง รอคนฟ้องจับ พธม.กรณีปิดถนน ยันมีอำนาจจัดการในฐานะ ผอ.ศอ.รส.
พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ผบ.ตร.ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการรักษาความสงบ(ผอ.ศอ.รส.) ให้สัมภาษณ์ถึงมาตกรการดูแลการชุมนุมของกลุ่มต่างๆในช่วงนี้ว่า ภารกิจของ ศอ.รส.เกี่ยวกับการชุมนุมคือการแก้ไขคลี่คลายสถานการณ์ความเดือดร้อนให้ประชาชนให้กลับมาใช้ชีวิตได้อย่างปกติสุข โดยเราพยายามปฏิบัติการที่ผ่านมาคือการเจรจาในท่ามกลางความคิดเห็นแตกต่างของกลุ่มต่างๆเราต้องรักษาความเสมอภาคความเป็นธรรมให้ทุกฝ่ายคือพูดง่ายๆ คือไม่ให้มี 2 มาตรฐาน
ด้านการบังคับใช้กฎหมายกับพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ยังไม่สามารถขอคือพื้นที่ได้แล้วจะนำไปใช้กับกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.)คนเสื้อแดงได้อย่างไร พล.ต.อ.วิเชียร กล่าวว่า เป็นเหตุผลว่าทำไมถึงพยายามเจรจา และพยายามที่จะใช้มาตรการต่างๆกับกลุ่มพันธมิตรฯกับกลุ่มที่อยู่ชุมนุมบนถนนพิษณุโลก
ส่วนเท่าที่พูดคุยกับแกนนำคนเสื้อแดง มีความชัดเจนหรือไม่ว่าจะไม่ชุมนุมยืดเยื้อ พล.ต.อ.วิเชียร กล่าวว่า "ผมเรียนตรงๆว่าที่ผ่านมาหลังจากที่ไม่ใช้ พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน จนถึงวันนี้การพูดคุยเจรจากับฝ่าย นปช.ค่อนข้างจะเชื่อฟัง เหมือนกับช่วยประคับประคองสถานการณ์ให้มีความสงบเรียบร้อย ในขณะที่ พันธมิตรฯเองค่อนข้างคุยกันลำบากนิดหนึ่ง เมื่อถามว่าการชุมนุมของ นปช.ที่เรียกร้องความเป็นธรรมต่อศาลอาญา หรือจะเดินไปตามถนนถึงแยกราชเทวีไปรวมตัวกันที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย คงไม่ฝ่าฝืนหรือไม่เกิน 24.00 น.จะบอกว่าคุยกับเสื้อแดงง่ายกว่าพันธมิตรฯ แต่การเคลื่อนไหวของทั้งสองกลุ่ม ทางตำรวจจะรายงานให้นายกฯทราบเป็นระยะๆ อย่างไรก็ตามจะไม่พยายามจะให้กลุ่มผู้ชุมนุมมาอยู่ใกล้กัน เพราะอาจจะกลายเป็นน้ำผึ้งหยดเดียวที่ทะเลาะกันได้"
ด้านที่บอกว่าคุยกับพันธมิตรฯยากกว่าเป็นเพราะอะไร พล.ต.อ.วิเชียร กล่าวว่า ไม่มั่นใจเหมือนกันว่ามีวัตถุประสงค์อะไรแฝงเร้นหรือเปล่า ในขณะที่ทุกฝ่ายขอความร่วมมือเพื่อให้เกิดความประคับประคองสถานการณ์ หรือในส่วนของตำรวจเองพยายามจะควบคุมสถานการณ์ให้เกิดความสงบเรียบร้อย เมื่อถามอีกว่า ถ้าท่าทีของพันธมิตรฯยังเป็นแบบนี้การเข้าไปบังคับใช้กฎหมายโดยไม่กระทบกระทั่งจะทำได้หรือไม่ พล.ต.อ.วิเชียร กล่าวว่า ต้องระมัดระวัง เรียนแล้วว่าทุกฝ่ายต้องช่วยประคับประคองสถานการณ์
ส่วนจะเป็นเพราะพันธมิตรฯมีเงื่อนไข ต้องการให้เกิดการกระทบกระทั่งหรือไม่ พล.ต.อ.วิเชียร กล่าวว่า คิดว่าคงไม่มีเจตนากับบ้านเมืองอย่างนั้น เมื่อถามต่อว่า ถ้าถึงเวลาที่ต้องใช้กฎหมายอย่างจริงจัง และต้องเกิดภาวะเช่นนั้นจะเกิดอะไรขึ้น พล.ต.อ.วิเชียร กล่าวว่า คงตอบไม่ได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่ถ้ามีความจำเป็นต้องยกระดับของกฎหมายและมาตรฐานของการดำเนินการ ต้องว่ากันไปตามสถานการณ์ เพื่อคลี่คลายสถานการณ์ไม่ให้เกิดความเดือนร้อนและความรุนแรง หรือความเสียหายมากกว่าที่เป็นอยู่
ขณะที่หากปล่อยสถานการณ์ให้นานไป จะมีคำถามกลับมาว่า การบังคับใช้กฎหมายยังสามารถดำเนินการใช้ในสังคมได้หรือไม่ พล.ต.อ.วิเชียร กล่าวว่า ยืนยันว่าต้องดำเนินการได้ ต้องบังคับใช้กฎหมายต้องพัฒนาให้มีประสิทธิภาพ เมื่อถามว่า จะใช้กรอบการเจรจากับกลุ่มพันธมิตรฯไปถึงเมื่อไหร่ พล.ต.อ.วิเชียร กล่าวว่า รายละเอียดคงว่าไปตามสถานการณ์ ส่วนการเจรจาหลายครั้ง ไม่มีความคืบหน้า เราจะใช้มาตรการหรือยกระดับเมื่อใด ผบ.ตร. กล่าวว่า เป็นรายละเอียดปลีกย่อย เช่น กฎหมายจราจร ใช้ได้หรือไม่ ยกตัวอย่างเมื่อวันที่ 11 ก.พ. ที่ รัฐสภาที่ผ่านมา ตนเรียนว่าในอดีต เราไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ เพราะเราไม่มีกฎหมายที่ชัดเจน ที่จะเข้าไปควบคุมจำกัดพื้นที่ หากเราปล่อยผู้ชุมนุมให้มาอยู่ที่หน้ารัฐสภาจำนวน 3,000-5,000 คน ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ตำรวจก็มีอยู่เพียงเท่านี้ ถ้าเขาสถานการณ์เปาะบาง ในการประชุมรัฐสภาวันนั้นอาจไม่เรียบร้อยก็ได้ ขณะเดียวกันตำรวจ ก็ต้องเตรียมเครื่องมือและอุปกรณ์ให้พร้อม ตนเรียนว่าเมื่อเรากำหนดแค่นี้เขาเข้ามามากกว่านี้ไม่ได้ เราก็ต้องเด็ดขาดชัดเจน ตนพยายามอธิบายให้เขาว่า เรามีมาตรการที่จะป้องกันเท่าที่กฎหมายมีอยู่ กำลังที่เรามีอยู่
ต่อข้อถามว่า ขณะนี้เหลือเวลาเพียงแค่ 1 สัปดาห์จากการประกาศ พ.ร.บ.ความมั่นคง หากเจรจาไม่ได้ผลจะเสนอต่ออายุ หรือไม่ พล.ต.อ.วิเชียร กล่าวว่า หากจำเป็นต้องขอใช้กฎหมายต่อก็ต้องใช้เนื่องจากเป็นกฎหมายที่พอใช้ได้ในสถานการณ์เฉพาะหน้า แต่ในระยะยาว ตนได้ผลักดัน พ.ร.บ.การชุมนุมในที่สาธารณะมาโดยตลอด ซึ่งในชั้นนี้บรรจุอยู่ในวาระของรัฐสภา ในอนาคตหากบ้านเมืองเป็นเช่นนี้ และเราไม่มีกฎหมายที่เหมาะสมมาใช้ ปัญหาจะเป็นเช่นนี้เรื่อยๆ ซึ่งเวลาที่เหลืออีก 1 สัปดาห์ที่จะต่อพ.ร.บ.ความ มั่นคง หรือไม่ ก็แล้วแต่สถานการณ์จะเป็นอย่างไร ซึ่งการเจรจาเราก็ยังมีมาตรการที่ยังเดินหน้าไปได้อยู่ แต่ขณะที่เรารุกคืบไปจะเกิดผลดีหรือผลเสีย เราต้องชั่งดู
ด้านที่ผ่านมาให้ทางกองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.)เป็นผู้เจรจากับ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรฯ ผบ.ตร. จะลงไปเจรจาเองหรือไม่ ผบ.ตร. กล่าวว่า เรามีการแบ่งหน้าที่กันอย่างชัดเจน และมียุทธศาสตร์ ไม่ใช่ใครจะเรียกไปคุยอย่างไรก็ได้ ต้องคุยให้เป็นแนวทางเดียวกัน เมื่อถามต่อว่า สุดท้ายเจรจาและบังคับใช้กฎหมายไม่ได้จะทำอย่างไรต่อไป ผบ.ตร. กล่าวว่า ต้องคอยดูกันต่อไปว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไร เมื่อถามว่า ผบ.ตร.ในฐานะที่เป็นเจ้าหน้ารัฐบังคับใช้กฎหมายไม่ได้รู้สึกกดดันหรือไม่ พล.ต.อ.วิเชียร กล่าวว่า ตนไม่รู้สึกกดดัน เพราะบางอย่างเราต้องอะลุ่มอล่วยบ้าง เราจะทำหน้าที่คลี่คลายสถานการณ์ให้นำไปสู่สภาวะปกติ
ขณะที่ข้ออ้างของ พล.ต.จำลอง ในเรื่องของ พ.ร.บ.ความมั่นคงว่า ตำรวจไม่มีอำนาจใช้ และมองว่าเป็นเรื่องผิดกฎหมาย พล.ต.อ.วิเชียร กล่าวว่า พล.ต.จำลอง จะพูดอย่างไรก็ได้ เราเป็นฝ่ายที่ต้องคิดหามาตรการ การขีดขวางการจราจร ก็ถือว่าเป็นความผิดแล้ว แล้วจะให้เราลุยเข้าไปจับเพราะเขากีดขวาง การจราจรนั้นมันสมเหตุสมผลหรือไม่เราต้องดูความเหมาะสม และกรณีที่กลุ่มผู้ชุมนุมพูดบนเวทีว่า ทางตำรวจจะไปฟ้องศาลต่อศาล เพื่อให้ศาลปกครองคุ้มครองการใช้พื้นที่ เพื่อให้เปิดการจราจรนั้น ตำรวจทำไม่ได้ ประชาชนหรือผู้เสียหาย สามารถไปฟ้องร้องต่อศาลแพ่งได้ ชาวบ้านหรือหน่วยงานที่ได้รับความเดือนร้อน เห็นว่ากระทบสิทธิก็ควรไปเรียกร้อง ตำรวจมีหน้าที่แค่ไหนจะทำแค่นั้น ไม่สามารถไปฟ้องร้องแทนชาวบ้านได้ จริงๆ อยากให้ผู้ที่ได้รับความเสียหายหรือผู้ที่ได้รับความเดือนร้อนไปฟ้อง ตำรวจจะได้เกิดความชอบธรรมที่จะเข้าไปจัดการ หากเราไปยุมากๆเดี๋ยวจะหาว่าตำรวจจะเข้าไปยึดที่เวทีอีก
ตนไม่เชื่อว่า พล.ต.จำลอง จะมาคุยกับตน ที่ผ่านมาท่านพูดไม่ตรงกับความจริงในหลายเรื่อง อย่างเช่น เรื่องการประกาศของเจ้าหน้าที่ตำรวจ เมื่อถามว่า ในอดีตที่มีคนไปฟ้องและมีทั้งมีหมายศาลมาติดและมีทั้ง พ.ร.ก.ฉุกเฉินก็ยังไม่สามารถจัดการได้ พล.ต.อ.วิเชียร กล่าวว่า "ตอนนั้นกับตอนนี้ไม่เหมือนกัน ตอนนั้นผมไม่ได้เป็นผอ.ศอ.รส.แต่ตอนนี้ผมเป็นผอ.ศอ.รส.รอดูก็แล้วกัน"
...
ส่วนกลัวหรือไม่ว่า ถ้าทั้งสองกลุ่มมีการรวมตัวกันแล้วบุกเข้าทำเนียบรัฐบาล พล.ต.อ.วิเชียร สวนกลับทันควันว่า ไม่กลัว เพราะหากมีการบุกจริง เราต้องมีการพัฒนาหรือหากจำเป็นเราอาจใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉิน การที่เรายังไม่ดำเนินการขั้นรุนแรงกับกลุ่มพันธมิตรฯไม่ใช่เราเพราะเรายังไม่ได้รับคำสั่งจากผู้ใหญ่ในรัฐบาล แต่เรายังมีขั้นตอนมีกฎหมายที่สามารถบังคับใช้ได้อยู่ ทั้งนี้หากคิดว่ารับมือไม่ไหวก็อาจจะขอกำลังเพิ่มหรือมีการยกระดับกฎหมายบังคับใช้เพิ่ม แต่ยืนยันว่าเมื่อวันที่ 11 ก.พ.ยังไม่มีคำสั่งเข้าขอคืนพื้นที่หรือเข้าสลายการชุมนุม