เอพียันมีทหารบนพระวิหารฮุนเซนด่าแสบมาร์คเจ้าเล่ห์ควรถูกนำตัวไปขึ้นศาลโลก รมว.กลาโหม ควง ผบ.ทบ.ติดตามสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ก่อนร่วมพิธีพระราชทานเพลิงศพทหาร...
แม้ว่าเหตุการณ์ปะทะของทหารไทยกับทหารกัมพูชา บริเวณภูมะเขือและช่องโดนเอาว์ อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ทำให้ทหารพลีชีพไป 2 นาย ชาวบ้านเสียชีวิต 1 ราย จะสงบลงชั่วคราว แต่สถานการณ์ยังคงไม่น่าไว้วางใจ ล่าสุดมีการส่งรถถังและทหารเข้าไปเสริมในพื้นที่ ขณะที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม พร้อม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. นำคณะลงพื้นที่ดูสถานการณ์และ ตรวจเยี่ยมให้กำลังใจกำลังพลที่ปกป้องรักษาอธิปไตย
ผู้สื่อข่าวรายงานเมื่อวันที่ 9 ก.พ. ถึงบรรยากาศที่ชายแดนด้านเขาพระวิหาร อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ว่า เวลา 08.45 น. วันเดียวกัน มีการเสริมเขี้ยวเล็บกำลังรถถัง เอ็ม 60 เอ 3 และรถกู้ เอ็ม 88 จำนวน 25 คัน จากม.พัน. 5 รอ.และ ม.พัน. 20 รอ. จ.สระบุรี พร้อมปืนต่อสู้อากาศยาน 2 กระบอก และกำลังทหารจากกองกำลังสุรนารี นำโดย พล.ต.ชวลิต ชุนประสาน ผบ.กองกำลังสุรนารี จำนวน 450 นาย สนธิกำลังกับทหารพราน กรมทหารพรานที่ 23 และทหารจาก ร.16 ค่ายบดินทรเดชา จ.ยโสธร มุ่งหน้าขึ้นตรึงกำลังรายรอบเขาพระวิหาร หลังมีรายงานการปะทะกันเล็กน้อยช่วงกลางดึกคืนวันที่ 8 ก.พ. โดยมีสื่อมวลชนทั้งไทยและต่างประเทศเฝ้ารอทำข่าวอย่างคับคั่ง
...
ต่อมาเวลา 10.25 น. พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม พล.อ.กิตติพงษ์ เกษโกวิท ปลัดกระทรวงกลาโหม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. พล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ เสธ.ทบ. พล.ท.ธวัชชัย สมุทรสาคร แม่ทัพภาคที่ 1 เดินทางไปที่กรมทหารพรานที่ 23 ค่ายพิทักษ์อุทุมพรเขต อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ โดยมี พ.อ.ธนศักดิ์ มิตรภานนท์ ผบ.ทพ.23 รอต้อนรับ และเข้ารับฟังสรุปสถานการณ์การสู้รบบนเขาพระวิหาร ระหว่างทหารไทยกับทหารกัมพูชา ราว 1 ชั่วโมง จากนั้น พล.อ.ประวิตรให้โอวาทกำลังพลที่ถูกส่งเข้ามาเสริมกำลังว่า จากเหตุการณ์ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ในนามของรัฐบาลต้องขอขอบคุณกำลังพลทุกคนที่ได้ช่วยดูแลอธิปไตย ดูแลประชาชนตามแนวชายแดน ไม่ให้ได้รับความเสียหายและบาดเจ็บมากขึ้น รัฐบาลมีความหวังอย่างยิ่งว่า กำลังพลทุกคนจะต้องดูแลประเทศชาติได้อย่างเต็มความสามารถ เพราะจากที่ได้รับฟังการชี้แจงจาก ผบ.ทบ. แม่ทัพภาคที่ 2 และ ผบ.กองกำลังสุรนารี จะได้กลับไปเรียนนายกรัฐมนตรีให้รับทราบว่า ทุกคนมีความมุ่งมั่นในการดูแลประเทศชาติ ประชาชนตามแนวชายแดนด้วยชีวิต ส่วนรัฐบาลก็มีความมุ่งมั่นในการดูแลประเทศชาติ ประชาชน ให้เกิดความสงบเรียบร้อย มีความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ที่สำคัญรัฐบาลจะต้องยึดมั่นในกฎบัตรสหประชาชาติ ในเรื่องสนธิสัญญาที่ทำไว้กับต่างประเทศอย่างเคร่งครัด กองทัพของเราไม่เคยคิดไปรุกรานใคร แต่กองทัพของเราก็ต้องดูแลประเทศชาติให้เกิดความสงบให้ได้
ภายหลังการให้โอวาทเสร็จสิ้น พล.อ.ประวิตร เปิดเผยว่า เราไม่อยากให้เกิดการสู้รบ แต่เราต้องทำหน้าที่รักษาอธิปไตย เราไม่คิดจะรุกรานใคร และจะดูแลประชาชนให้เกิดความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินเรื่อง MOU และกฎบัตรสหประชาชาติไม่ต้องห่วง ส่วนเรื่องการเจรจาเป็นเรื่องของรัฐบาลกับกระทรวงการต่างประเทศ ทหารในพื้นที่ไม่มีปัญหาคุยกันแล้ว ต่อข้อถามที่ว่า ทั้งที่มีการเจรจาหยุดยิงกันแล้ว แต่กัมพูชายังยิงใส่ทหารไทย เกิดจากอะไร พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า ไม่ทราบ ต้องไปถามกัมพูชา เพราะกัมพูชายิงมา ทหารไทยก็ยิงป้องกันตัวเอง ต่อข้อถามที่ว่าจะเกิดสภาวะสงครามหรือไม่ พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า เราไม่ให้เกิดสภาวะสงครามอยู่แล้ว ต่อข้อถามที่ว่า ถ้าสถานการณ์เป็นแบบนี้ แสดงให้เห็นว่าทหารไทยเป็นฝ่ายตั้งรับฝ่ายเดียว พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า อธิปไตยเราอยู่ตรงไหน จะให้ไปรุกรานใคร ขอยืนยันจะดูแลผืนแผ่นดินไทยทุกตารางนิ้วไม่ให้เสียดินแดนไป
จากนั้น พล.อ.ประวิตรได้ตรวจเยี่ยมกำลังพลของกองกำลังสุรนารี โดยเดินทักทายอย่างทั่วถึง พร้อมมอบเงินบำรุงขวัญกำลังใจ ขณะเดียวกันยังได้ไปให้กำลังใจ ทหารที่ได้รับบาดเจ็บ จากการสู้รบจำนวน 5 นาย และถูกส่งตัวมารักษาที่ รพ.กันทรลักษ์ แล้วสมัครใจขอกลับขึ้นไปประจำการบนเขาพระวิหารอีกครั้ง หนึ่งในจำนวนนั้น มี ร.ต.ธนพล สุขประเสริฐ ผบ.หมวดปืนเล็กที่ 1 ร้อย ร.2312 พัน ร.12 ค่ายสุรธรรมพิทักษ์ ที่โดนสะเก็ดปืน ค.เข้าบริเวณลำคอ ใบหน้า นิ้วกลางขวาเป็นแผลเหวอะ กล่าวว่า วันเกิดเหตุวันที่ 6 ก.พ. ประจำการอยู่แนวหน้าบริเวณผามออีแดง มีการปะทะกันอย่างหนัก ตนถูกสะเก็ดปืน ค.ได้รับบาดเจ็บไม่มาก นอนพักอยู่โรงพยาบาล 2 วัน รู้สึกเป็นห่วงลูกน้อง จึงขออาสากลับไปสู้กับทหารกัมพูชาอีกครั้ง
ภายหลังตรวจเยี่ยมกำลังพล พล.อ.ประวิตร และคณะเดินทางต่อไปยังวัดโนนไหล่ ตำบลเสียว อ.เบญจลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ซึ่งตั้งศพ ส.อ.ธนากร พูนเพิ่ม ทหารที่เสียชีวิตจากการปะทะ พล.อ.ประวิตร และ พล.อ.ประยุทธ์ พร้อมด้วยนายทหารชั้นผู้ใหญ่ ได้ร่วมรดน้ำศพ พร้อมกับมอบเงินช่วยเหลือให้กับครอบครัวทหารที่เสียชีวิตบรรยากาศเป็นไปด้วยความเศร้าสลด มีเพื่อนทหารเข้าร่วมงานนับร้อยนายเข้าร่วมแสดงความไว้อาลัย
หลังจากทำพิธีรดน้ำศพเสร็จสิ้น พล.อ.ประยุทธ์ ได้กล่าวกับครอบครัว ส.อ.ธนากร ว่า ขอชื่นชม ผู้เสียชีวิตเป็นทหารที่กล้าหาญ เสียสละชีวิตเพื่อรักษาอธิปไตยของชาติ ขอขอบคุณและจะดูแลครอบครัวเป็นอย่างดี ขณะที่นายบัวลา พูนเพิ่ม บิดาของ ส.อ.ธนากร ได้ขอให้ย้ายลูกชายคนเล็กซึ่งเป็นทหารปืนใหญ่ ไปช่วยราชการที่ จ.นราธิวาส กลับมาที่ค่ายสรรพสิทธิประสงค์ จ.อุบลราชธานี เพราะจะได้ดูแลครอบครัว ซึ่ง ผบ.ทบ.ได้รับปากว่าจะดำเนินการให้
ที่รัฐสภา คณะกรรมาธิการการต่างประเทศ วุฒิสภา ได้จัดสัมมนาวิชาการเรื่อง "ประเทศไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน : เหตุการณ์ปกติ" โดยนายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ ได้กล่าวระหว่างเป็นวิทยากรตอนหนึ่งว่า วันที่ 14 ก.พ.นี้ จะเดินทางไปนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา เพื่อรายงานสถานการณ์ข้อพิพาทระหว่างไทย-กัมพูชา ต่อคณะมนตรีความมั่นคงสหประชาชาติ พร้อมทั้งหารือกับนายฮอร์ นัม ฮง รมว.ต่างประเทศกัมพูชา โดยมีนายมาตี้ นาตาเลกาวา รมว.ต่างประเทศอินโดนีเซีย ในฐานะประธานอาเซียนร่วมด้วย โดยจะสนทนาเปิดอกกับนายฮอร์ นัม ฮง ว่าจะรักษาอาเซียนและความสัมพันธ์กันระหว่าง 2 ประเทศ หรือจะสู้รบฟาดฟันตลอดแนวชายแดนก็ได้ แต่ที่ผ่านมาพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า อย่ามาต่อกรกับไทย เพราะหากยังเกเรก็มีแต่เจ็บลูกเดียว ขอยืนยันว่าประเทศลาวและ เวียดนามไม่มีทางฮั้วกับกัมพูชาเพื่อสู้กับไทยแน่นอน เพราะทั้ง 2 ประเทศมีความสัมพันธ์อันดีในทุกเรื่องกับไทย นอกจากนี้ ยังจะทวงสัญญากับสหรัฐอเมริกา ในฐานะที่ เป็นพันธมิตรกัน และมีสัญญาระหว่างกันมากมายเพื่อช่วยแก้ปัญหาไทย-กัมพูชาด้วย
นายกษิตกล่าวว่า ยืนยันว่าเราเป็นฝ่ายถูกกระทำ วันนี้มีเด็กเกเรอยู่ข้างบ้าน เราในฐานะผู้ใหญ่จะทำอย่างไร เรายังมีมิตรจิตมิตรใจต่อชาวกัมพูชาอยู่เช่นเดิม สาเหตุหลักที่สมเด็จฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา เปิดฉากปะทะกับไทย เพราะต้องการปราสาทพระวิหารและดินแดนโดยรอบ โดยต่างชาติเข้ามาบริหารมรดกโลก เพราะเขาคิดว่ารัฐสภาไทยช้า ทำเรื่องไม่เสร็จ และยังคิดว่านายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ ก็ฮั้วกับรัฐสภาไทย ทำให้เรื่องช้าไปอีก จึงเป็นวิธีที่ท่านผู้นำเปิดฉากเพื่อทำให้สถานการณ์ เละเทะ ให้เขาสูญเสียมากมาย เพราะเชื่อว่าจะมีพี่เลี้ยงเข้ามาช่วยเหลือ อาทิ รัสเซีย อินเดีย ฝรั่งเศส เรื่อง ดังกล่าวนี้ตนจะรายงานต่อคณะมนตรีความมั่นคง สหประชาชาติ ในวันที่ 14 ก.พ.นี้ด้วย
นายกษิตกล่าวอีกว่า สำหรับอาวุธที่กัมพูชาใช้ สู้รบกับไทย มาจากสหรัฐฯ จีน รัสเซีย และบัลแกเรีย อาวุธของจีนได้รับมาฟรี ขณะที่บัลแกเรียซื้อมา ส่วนทางรัสเซียกำลังตรวจสอบ แต่ยอมรับความสัมพันธ์ไทยกับ รัสเซียไม่ราบรื่น เพราะเขาต้องการขายอาวุธให้ แต่ไทยไม่เคยซื้อ รัสเซียจึงไปเข้าทางกัมพูชาแทน ยอมรับว่าประเทศรัสเซียมีความเห็นแก่ตัวมาก เมื่อเขาขายอาวุธให้เราไม่ได้เขาก็ไม่ตอบสนอง คำว่าให้ทานไม่อยู่ในจิตใจ ทั้งที่เขาเป็นประเทศใหญ่แต่ไม่ยอมให้อะไรเลย
ขณะที่นายคำนูญ สิทธิสมาน ส.ว.สรรหา สายพันธมิตรฯ ได้สอบถามว่า ทำไมการว่าจ้างนักวิชาการทำงานวิจัยเรื่องข้อพิพาทไทย-กัมพูชา ของกระทรวงการต่างประเทศ ถึงมีแนวทางขัดแย้งกับรัฐบาล รวมทั้งอยากให้ไทยประกาศว่าพื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตารางกิโลเมตรเป็นของไทย
นายกษิตชี้แจงว่า มีการจ้างนักวิชาการ 2 กลุ่ม มูลค่า 10 ล้านบาท แต่เป็นเรื่องก่อนที่ตนจะมารับตำแหน่ง และไม่ทราบเรื่อง ทั้งนี้ ยอมรับว่างานในกระทรวงการต่างประเทศ เป็นแดนสนธยา รัฐมนตรีไม่ทราบเรื่อง เพราะไม่บอกตน เวลามอบนโยบายพวกเขาก็ยอมรับ แต่เมื่อไปอยู่ข้างนอกเขาพูดอีกอย่าง เพราะกระทรวงแห่งนี้ยังมีการครอบงำจากอดีตข้าราชการประจำ อดีตนักการเมือง ผู้มีอิทธิพลในกระทรวง นำเรื่องไปบอกผู้ใหญ่ในบ้านเมือง ให้เกิดความสับสน พร้อมทั้งให้เรากระทืบกัมพูชา หากเป็นเช่นนั้นเราจะอยู่กันได้อย่างไร ส่วนเรื่องพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรนั้น ตนสามารถประกาศได้ว่าเป็นพื้นที่ของไทย แต่เราไม่ทำ เพราะเกรงว่าต่อไปจะเจอคำถามที่ 2 ให้ตนและ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม นำทหาร รถถัง ขึ้นไปรับรอง จะทำให้ทั้ง 2 ประเทศรบกันอีก การชี้แจงต่อสหประชาชาติจะลำบากหรือไม่ หรือ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรฯ อาจจะยกทัพไปที่นั่น
ส่วนสำนักข่าวเอพีรายงานว่า จากกรณีกระทรวงการต่างประเทศของกัมพูชา ออกชี้แจงเมื่อวันที่ 8 ก.พ. ว่า บนปราสาทพระวิหารไม่มีทหารกัมพูชาประจำการอยู่แม้แต่นายเดียว มีเพียงตำรวจคอยดูแลรักษาความปลอดภัยนั้น ผู้สื่อข่าวเอพีที่เข้าไปตรวจสอบกลับพบว่า มีทหารกัมพูชาประจำการอยู่ภายในปราสาทพระวิหารและบริเวณรอบๆจำนวนหลายร้อยนาย ขณะที่อาวุธก็ประกอบไปด้วยปืนประจำกายอาก้า จรวดอาร์พีจี รวมถึงปืนครกขนาด 81 มม. ที่ตั้งศูนย์เล็งไปยังฝั่งประเทศไทย โดยทหารหลายนายเผยว่า พวกตนได้รับคำสั่งให้มาป้องกันเขาพระวิหาร แต่ถ้าการสู้รบจบสิ้นก็จะเคลื่อนกำลังออกไป
ขณะเดียวกัน นักวิชาการประจำสถาบันเขมร เพื่อประชาธิปไตยในกรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา เปิดเผยกับสำนักข่าวรอยเตอร์ ว่า โดยปกติแล้วชาวกัมพูชาส่วนใหญ่ จะแสดงความไม่พอใจต่อประเทศเพื่อนบ้านอย่างรุนแรง เวลาเกิดปัญหาพื้นที่พิพาทพรมแดน แต่ครั้งนี้กลับแตกต่างออกไป โดยรัฐบาลกัมพูชามีการระมัดระวังเป็นพิเศษ ไม่ให้เกิดกระแสโกรธแค้น สาเหตุอาจมาจากรัฐบาลกัมพูชา ไม่ต้องการให้เหตุการณ์บานปลายเหมือนเมื่อปี 2546 ที่สถานทูตไทยประจำกรุงพนมเปญถูกกลุ่มชาวบ้านบุกเผาทำลาย และในช่วงนี้รัฐบาลกัมพูชาอยู่ระหว่างการขอร้องให้สหประชาชาติเข้ามาช่วยคลี่คลายสถานการณ์ อีกทั้งไม่อยากให้พรรคฝ่ายค้านนำไปใช้เป็นประเด็นโจมตีว่า รัฐบาลไม่สามารถแก้ปัญหาพื้นที่ทับซ้อนบริเวณพรมแดนทั้งฝั่งตะวันตกติดกับประเทศไทย และฝั่งตะวันออกติดกับประเทศเวียดนาม เห็นได้จากเมื่อวันที่ 7 ก.พ. เจ้าหน้าที่ตำรวจในกรุงพนมเปญเข้าขัดขวางไม่ให้ชาวบ้านมารวมตัวประท้วงบริเวณหน้าสถานทูตไทย.